ผมอยากไปดูด้วยตัวเองว่า การขยายตัวอย่างไร้ทิศทางจะส่งผลอย่างไร และทุกสิ่งก็เกินความคาดหมาย
ระหว่างนั่งเครื่องบินจากนิวเจอร์ซีย์ไปกรุงปักกิ่ง ผมบังเอิญอ่านพบบทความนี้ในหนังสือพิมพ์ไชนาเดลีย์ "รายงานข่าวแจ้งว่า ที่กรุงปักกิ่ง ช่างติดตั้งเครื่องปรับอากาศหลายคนเสียชีวิตเพราะตกจากที่สูง เนื่องจากขณะนี้ คลื่นความร้อนแผ่เข้าปกคลุมทั่วประเทศ เครื่องปรับอากาศจึงขายดี ส่งผลให้หลายบริษัทขาดแคลนช่างผู้ชำนาญในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ผู้ประกอบการบางรายแก้ปัญหาด้วยการรับคนงานที่ไม่ผ่านการฝึกมาทำงานชั่วคราว เพราะถือคติน้ำขึ้นต้องรีบตัก...(บางราย)ถึงกับไม่จัดหาเข็มขัดนิรภัยให้คน งานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย"
บทความนี้นอกจากจะน่ากลัว เนื้อหายังสะท้อนภาพเมืองจีนในใจผมได้อย่างชัดเจน ผมจึงฉีกบทความนี้จากหนังสือพิมพ์แล้วเก็บเข้าแฟ้ม ผมมีแฟ้มส่วนตัวที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวของเมืองต่างๆในจีนที่ท้องฟ้าเต็มไป ด้วยหมอกสีดำขมุกขมัว หรือโรงงานที่จ่ายค่าแรงถูกเยี่ยงทาส กลุ่มคนบริโภคนิยมที่หมกมุ่นกับการซื้อรถโดยไม่คำนึงถึงผลเสียด้านสิ่งแวด ล้อม ผมอยากไปเห็นด้วยตัวเองว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร จะได้กลับมาเล่าต่อได้ถูกต้องถึงผลของการพัฒนาที่ไร้ทิศทาง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่แท้จริงในการเขียนรายงานเกี่ยวกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งคือไม่มี เรื่องไหนถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ไม่ใช่เพราะมุมมองในเรื่องนั้นผิด จริงอยู่ว่าในเมืองจีนมีเรื่องเล่านับไม่ถ้วนเกี่ยวกับสภาพโรงงานที่เลวร้าย การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทุจริตในระดับต่างๆ และการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ความจริงไม่ได้จบลงแค่นั้น
วันที่สามในจีน ผมปีนขึ้นไปนั่งในรถโฟล์กสวาเกนรุ่นเจตตาซึ่งขับโดยนักออกแบบซอฟต์แวร์ชื่อ เหวิน เจียะ ผมรู้จักเขาผ่านเพื่อนอีกที เราสองคนมุ่งหน้าไปเขตอุตสาหกรรมหรงเฉิงทางตะวันตกเฉียงใต้ของปักกิ่ง ที่นี่เป็นเขตชนบทที่มีโรงงานหนาแน่นมากและมีทางหลวงแผ่นดินเชื่อมกับเมือง เทียนสินได้ด้วย เทียนสินเป็นที่ตั้งของท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในจีน เหวิน เจียะพาผมไปที่โรงงานผ้าม่านห้องน้ำชื่อเฮอเป่ย หรงเฉิง เล่อ เจีย ผมพบกับเป่า จีจวิน เจ้าของโรงงานวัย 40 เศษ รูปร่างสูงเพรียวและท่าทางเอาการเอางาน เขาเริ่มทำธุรกิจเล็กๆในอพาร์ตเมนต์ที่ปักกิ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ภายในหนึ่งปี เขาก็มาเช่าโรงงานแห่งนี้ ตอนนี้มีคนงานประมาณ 100 คน เป่าพาผมเดินดูห้องทำงาน คนงานส่วนใหญ่อายุระหว่าง 18 ถึง 22 ปี ขะมักเขม้นกับการยกม้วนผ้าโพลีเอสเตอร์ยาวๆลื่นๆมาวางบนโต๊ะขนาดใหญ่มาก จากนั้นก็เย็บริมและเจาะรูตาไก่ ผ้าม่านที่ทำเสร็จแล้วจะบรรจุใส่ถุงพลาสติกและเรียงใส่กล่อง
เนื่องจากอากาศช่วงนี้ร้อนมาก คนงานจะทำงานตั้งแต่ 7.30 น. ถึง 11.30 น. พักกลางวันแล้วกลับมาทำงานอีกครั้งตอน 15.00 น. ถึง 19.00 น. เราเยี่ยมชมการทำงานได้ไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาพักกลางวัน ทุกคนกรูกันไปที่โรงอาหาร วันนั้นมีข้าวกับถั่วลันเตา ต้มมะเขือ เกี๊ยว และน้ำซุปชามใหญ่ ทั้งหมดนี้ราคา 1.7 หยวนหรือประมาณแปดบาท
ขณะทุกคนกินอาหารกลางวัน เราก็เดินต่อไปที่ห้องนอนในหอพักสำหรับคนงานหญิง แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นสี่หลัง เตียงหนึ่งเอาไว้เก็บกระเป๋าและเสื้อผ้า ที่เหลือสำหรับนอน แต่ละห้องมีเด็กสาวอยู่รวมกันประมาณสี่ถึงห้าคน ในห้องมีโต๊ะสำหรับใช้ร่วมกันหนึ่งตัว พัดลมเพดานหนึ่งตัว ถัดจากห้องนอนก็เป็นห้องพักผ่อนซึ่งมีโทรทัศน์จอยักษ์หนึ่งเครื่อง และห้องถัดไปมีโต๊ะปิงปองหนึ่งตัว "คนงานคนไหนสามารถเอาชนะผมได้ จะได้เบียร์หนึ่งขวดเป็นรางวัล" เป่าเล่า
คนงานกว่าครึ่งมาจากมณฑลเดียวกับเป่า เถ้าแก่หนุ่มอนุญาตให้ผมสัมภาษณ์คนงานได้ตามสบาย ตู้เผ้ยถังเป็นเด็กหนุ่มขี้อายวัย 20 ยิ้มของเขาดูซื่อ ดวงตาแจ่มใส เขาได้เงินเดือนประมาณ 1,000 หยวน ทำงานได้ไม่ถึงสองปี เขาก็เก็บเงินได้ 12,000 หยวน ตู้เล่าว่าอีกปีหรือสองปีก็คงเก็บเงินได้มากพอจะสร้างบ้านหลังเล็กๆที่บ้าน เกิดและแต่งงาน ส่วนหลิว เซี่ย เด็กสาววัย 18 เล่าว่าอยากช่วยให้พี่ชายเรียนจบมหาวิทยาลัย ที่จริง พี่ชายของหลิวเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซานตงเมื่อ สัปดาห์ก่อน ทั้งนี้โดยอาศัยเงินรายได้ของเธอจากโรงงานแห่งนี้นั่นเอง
นี่ผมพลัดหลงเข้าไปในโรงงานดีเยี่ยมที่สุดในจีนหรือไม่ สถิติบอกไม่ใช่หรือว่าคนงานจีนสูญเสียนิ้ว แขน หรือมือเพราะอุบัติเหตุในโรงงานปีหนึ่งหลายหมื่นคน ซึ่งในเรื่องนี้เป่ากล่าวว่า เขาคิดว่าโรงงานในเมืองจีนประมาณร้อยละ 70 ถึง 80 มีสภาพการทำงานคล้ายกับโรงงานของเขา เหตุผลหนึ่งที่โรงงานไม่เอาเปรียบลูกจ้างก็เพราะเถ้าแก่เป็นคนดี อีกเหตุผลคือผ้าม่านห้องน้ำที่เขาผลิตนั้นส่งไปขายในร้านไอเคีย บริษัทใหญ่แห่งนี้จะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบโดยไม่แจ้งล่วงหน้าปีละหลายหน สิ่งที่ไอเคีย ให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือสภาพความเป็นอยู่ของคนงาน โดยใส่ใจกับรายละเอียดขนาดนับจำนวนห้องน้ำที่มีให้คนงาน เมื่อแนะนำให้แก้ไขสิ่งใด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเหล่านี้จะผลักดันให้มีการปรับปรุงไปเรื่อยๆ "ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแต่ผมก็ยินดี เพราะถือว่าสิ่งที่เขากำหนดให้ปรับปรุงนั้นเป็นการช่วยยกระดับโรงงานให้ได้ มาตรฐานเทียบเท่ากับโรงงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว" เป่ากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ผมเริ่มมองเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงในเมืองจีนรางๆเมื่อเห็นกิจการของโรงงาน แห่งนี้กับอีกหลายแห่ง แต่พอไปเยือนเมืองอี้อูในช่วงท้ายๆของการเดินทาง ผมถึงเริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าธุรกิจผลิตสินค้าของจีนมีพลังมากมายเพียงไร เมืองอี้อูเป็นที่ตั้งของนครการค้านานาชาติที่จะทำให้คุณตกตะลึงราวกับได้ไป เยือนกำแพงเมืองจีน แม้จะสร้างเสร็จเพียงร้อยละ 40 แต่ก็มีอาคารใหญ่สองหลังยืนตระหง่าน มีผลงานยืนยันว่าสินค้าทุกอย่างที่ผลิตในโลก คนจีนสามารถผลิตได้ถูกกว่า
ตัวอย่างเช่น ในแผนก "กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ รวมทั้งกระเป๋านักเรียน" มีแผงกว้างสามเมตรยาวสี่เมตรประมาณ 800 แผง แต่ละแผงเป็นตัวแทนของแต่ละโรงงาน ผู้ประกอบการทุกโรงงานจัดร้านอย่างสวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยความหวังว่า จะได้รับคำสั่งซื้อสักสิบ หรือ 20 หรือ 30,000 ใบ แผนกกระเป๋านี้กินพื้นที่แค่ครึ่งชั้น ส่วนพื้นที่ชั้นบนทั้งหมดเป็นสินค้า "เครื่องมือหนักและ อุปกรณ์ตกแต่ง" พูดง่ายๆคือมีตั้งแต่แม่แรงรถยนต์ไปถึงเครื่องขูดเนยแข็ง
ที่อาคารหนึ่งมีร้าน "ของเล่นทั่วไป" หลายร้อยแผง เดินไป 20 นาทีก็หลุดเข้าไปในแผนก "ของเล่นไฟฟ้า" จากนั้นเป็นแผนก "ของเล่นแบบเป่าขยาย" สุดท้ายคือแผนกใหญ่ที่สุด "ของเล่นทำด้วยผ้า" ชั้นต่อมาแบ่งระหว่างดอกไม้ประดิษฐ์และเครื่องประดับผม ขึ้นไปอีกชั้นเป็นแผนก "ของที่ระลึก" มีสินค้ากิฟต์ช็อปทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก
เมื่อได้มาเยือนนั่นแหละ ผมถึงเข้าใจสิ่งที่ตัวเองได้อ่านได้เห็นมาก่อนหน้านั้น ตัวอย่างเช่น ชุนหมิงเป็นเมืองชนบทเล็กๆอยู่บนเนินเขาในมณฑลเสฉวน ผู้ชายส่วนใหญ่ในเมืองนี้ทำงานในเหมืองแร่ถ่านหินชั่วคราว ทุกคนต้องพยายามให้แคล้วคลาดจากการเป็นเหยื่อของเหตุเหมืองถล่มหรือระเบิด แต่ละปี ในจีนมีคนงานเหมืองเสียชีวิตเพราะเหมืองแร่ระเบิดประมาณ 6,000 คน สถานที่แห่งนี้น่ากลัวไม่น้อยทีเดียว
ล่ามพาผมไปเดินรอบๆย่านที่อยู่อาศัยซึ่งมีอาคารหลังหนึ่ง ในนั้นมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันราวเจ็ดแปดครอบครัว ผมเห็นหมูหลายตัวนอนอยู่ในห้องติดกับห้องครัว หนึ่งในสมาชิกที่อาศัยอยู่ในอาคารแห่งนั้นคือ จ้าว หลินเทา เด็กหญิงวัย 12 ขวบพูดภาษาอังกฤษตามที่ได้เรียนจากโรงเรียนในหมู่บ้านอย่างภาคภูมิใจ แต่พอเราถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ หนูน้อยก็น้ำตาร่วง แม่เธอไปทำงานที่โรงงานในเมือง ทิ้งให้เธอกับน้องสาวอยู่กับพ่อซึ่งชอบทุบตีสองคนพี่น้อง รัฐบาลจัดการศึกษาขั้นต้นจนถึงมัธยมสามแบบให้เปล่า หลังจากนั้นนักเรียนต้องจ่ายค่าเล่าเรียน
เรื่องของจ้าวเป็นเพียงตัวอย่างชีวิตนักเรียนเกือบ 500 ล้านคนในจีน นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวกันว่าการอพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติ ศาสตร์มนุษยชาติกำลังเกิดขึ้นในจีน ทุกปีจะมีประชากรหลายร้อยล้านคนหนีความอดอยากสิ้นหวังในพื้นที่เกษตรกรรม มุ่งหน้าไปทำงานที่โรงงานทั้งหลายซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของอี้อู
กระนั้นก็ตาม ประชากรในชนบทยังจัดว่าหนาแน่นมาก ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจไม่ใช่ความหนาแน่นของประชากรในเขตเมือง แต่เป็นความแออัดในเขตชนบท ไร่นาในหลายๆเมืองมีพื้นที่เฉลี่ยไม่ถึงครึ่งไร่ แต่มีประชากรดำรงชีพประมาณ 800 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 60 ของประชากรจีนทั้งประเทศ รายได้เฉลี่ยของชาวชนบทตกอยู่ประมาณหนึ่งในสามของรายได้ชาวเมือง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่สหประชาชาติจะทำนายว่า ในปี 2573 ชาวจีนกว่าร้อยละ 60 จะย้ายไปอยู่ในเมือง
ถ้าต้องการชะลอการหลั่งไหลเข้าไปอยู่ในเมืองก็ต้องหามาตรการยกระดับรายได้ ของชาวชนบท ซึ่งขณะนี้มีผู้พยายามลงมือแล้ว ตัวอย่างเช่น เหริน ซูผิง อาศัยอยู่นอกเมืองเฉินตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวน เมื่อปี 2527 เขาเป็นเพียงชาวนาจนๆซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากไฮเฟอร์อินเตอร์เนชันแนล องค์กรการกุศลเพื่อพัฒนาชนบทจากสหรัฐฯแห่งนี้มอบกระต่าย 48 ตัวให้เขาพร้อมกับอบรมวิธีเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ "ทีแรกผมไม่เชื่อหรอกว่าจะได้ของฟรี เหมือนสวรรค์เมตตาแท้ๆ" เขากล่าว
ภายในไม่กี่ปี เหรินก็กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านเมื่อประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์กระต่าย ขาย แถมยังเลื่อมใสในอุดมการณ์ของไฮเฟอร์อินเตอร์เนชันแนลซึ่งเน้นการแบ่งปัน ความมั่งคั่ง ไม่นาน เขาก็นำกระต่ายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ 20 ตัวไปแจกให้ชาวไร่ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการกับเขา นอกจากนี้ยังสร้างโรงเรียนฝึกอบรมการเลี้ยงเพาะพันธุ์กระต่าย ซึ่งโครงการไฮเฟอร์ระบุว่ามีชาวไร่ชาวนาผ่านการอบรมไปแล้วราว 300,000 คน "เพียงสองหรือสามปี คุณก็สามารถมีรายได้ปีละ 10,000 หยวน"
แต่โครงการอย่างไฮเฟอร์ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่มีพลังเหนือกว่าคือแรงผลักดันของเขตชนบทที่แออัดกับแรงดึงดูดของเขต เมืองซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสดีๆในชีวิต คืนหนึ่งซึ่งอากาศร้อนอบอ้าว ผมขับรถจากกลางกรุงปักกิ่งไปที่หมู่บ้านซึ่งเมื่อก่อนเป็นชนบทเล็กๆ แต่ตอนนี้แวดล้อมด้วยเมืองใหญ่และเป็นที่อยู่ของแรงงานอพยพ หลายหมื่นคน รถเราแล่นเรื่อยๆไปตามถนนในหุบเขาจนไปถึงบ้านของเชา จ่งหลง วัย 57 เขามาจากมณฑลเจียงซีตั้งแต่ปี 2530
"หมู่บ้านของเราอดอยากมาก" เขากล่าว "เนื้อสัตว์ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่"
ญาติของเชาเริ่มตั้งทีมก่อสร้าง หน้าที่ของเชาคือปั่นสามล้อซึ่งมีอุปกรณ์ก่อสร้างไปส่ง ไม่นานเขาก็เรียนรู้วิธีปูกระเบื้อง ต่อด้วยการฉาบปูนและทาสี เขาเริ่มธุรกิจของตัวเองและเก็บเงินสร้างบ้านได้สองหลัง ให้แม่อยู่หลังหนึ่ง อีกหลังปล่อยเช่า เมื่อปีที่ผ่านมา ลูกสาวคนที่สองของเชาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ตอนนี้ทำงานอยู่ในบริษัทเภสัชกรรมแห่งหนึ่ง เงินเดือนเริ่มต้น 2,400 หยวน ผมถามว่าตอนลูกคนนี้เกิด เขาคิดไหมว่าลูกจะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัย เชามองหน้าผมแล้วหัวเราะ
อยู่กรุงปักกิ่งไม่กี่วัน ผมก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมสังเกตการณ์งานประชุมประจำปีของสมาคมนักข่าวสิ่งแวด ล้อม ผู้ร่วมประชุมกว่า 40 คนเข้าไปอัดกันอยู่ในห้องประชุมซึ่งร้อนอบอ้าว อวิน เจียนหลี อดีตข้าราชการจากมณฑลหูเป่ย์ นำภาพที่นักรณรงค์ในกลุ่มของเธอผนึกกำลังกันเดินเป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตรไปตามริมแม่น้ำฮั่นซึ่งกำลังประสบปัญหามลภาวะอย่างหนักเพราะโรงงาน เล็กๆหลายแห่งปล่อยของเสียลงสู่แม่น้ำ ในภาพนั้น นักรณรงค์พร้อมใจกันโบกธงผืนใหญ่สีเขียวมีข้อความเป็นภาษาจีนว่า "รักษ์แม่น้ำของเรา" นอกจากนี้ยังมีภาพของอวินเองขณะเข้าร่วมประชุมครั้งใหญ่ๆ และภาพหมู่บ้านริมแม่น้ำซึ่งมีประชากร 3,000 คน ซึ่งเธอบอกว่า 110 คน ในนั้นป่วยเป็นมะเร็ง อวินเล่าว่า เมื่อชาวบ้านร้องเรียน เจ้าหน้าที่ของมณฑลก็มอบเงินให้จำนวนหนึ่งเป็นค่าขุดบ่อน้ำดื่มแห่งใหม่
ว่ากันว่า แต่ละปีในจีนมีการประท้วงถึง 70,000 ครั้ง เรื่องที่ประท้วงมากติดอันดับคือสารพิษจากโรงงาน เจ้าหน้าที่ของจีนพยายามตอบข้อเรียกร้องของประชาชน ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศว่าจะยึดมั่นกับ "เศรษฐกิจครบวงจร" ทั้งนี้เพราะแรงกดดันจากนักสิ่งแวดล้อมในยุโรป คำประกาศเช่นนี้มีความหมายหลายนัย หากเป็นประเทศเดนมาร์กก็หมายถึงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีโรงปั่นไฟ โรงงานยา โรงงานผลิตแผ่นกั้นผนัง และโรงกลั่นน้ำมันตั้งอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อให้แต่ละโรงงานใช้กากของเสียจากอีกแห่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต แต่ในจีนไม่ใช่อย่างนั้น ทุกวันนี้ คำประกาศดังกล่าวหมายถึงการประชุมซ้ำแล้วซ้ำอีก ตามมาด้วยการสัญญาและประกาศก้องว่าจะเริ่มโครงการนำร่องมากมาย เช่น การเปลี่ยนเศษซัลเฟอร์ให้เป็นปุ๋ย เป็นต้น
ลืมเรื่องมลภาวะไปสักพัก ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือระบบธรรมชาติเกือบทุกอย่างในจีนกำลังออกอาการบอบช้ำจาก การถูกใช้งานอย่างหนักมานานหลายพันปี โดยเฉพาะในครึ่งศตวรรษหลังนี้ ซึ่งมีการใช้ทรัพยากรแบบผิดๆอย่างแพร่หลาย เพื่อให้เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริงของจีน ผมเดินทางย้อนกระแสน้ำของแม่น้ำชาวซึ่งเป็นต้นกำเนิดอ่างเก็บน้ำเก่าแก่ของ ปักกิ่ง แม้พื้นที่ลุ่มจะปกคลุมด้วยไร่ข้าวโพดแต่บนเนินเขากลับโล่งเตียน เมื่อปี 2501 ท่านประธานเหมาประกาศนโยบายปฏิวัติแบบก้าวกระโดด ประชาชนเริ่มผลิตเหล็กกล้าในครัวเรือน ข้อสำคัญคือการผลิตเหล็กกล้าต้องใช้ฟืนจำนวนมาก ไม่นานเนินเขาทั้งหลายจึงกลายเป็นเขาหัวโล้น
ทุ่งหญ้าหายไปพร้อมกับป่าไม้ เมื่อคนในเมืองมากขึ้น ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ก็เพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือจำนวนปศุสัตว์มากขึ้น เลสเทอร์ บราวน์ นักสิ่งแวดล้อมอเมริกันซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประเทศจีนมานานกล่าวว่า จีนมีแพะแกะ 339 ล้านตัว เทียบกับเจ็ดล้านตัวในสหรัฐฯ "ผมเคยไปดูสภาพในปศุสัตว์หลายแห่งซึ่งเจ้าของต้องเอาเสื้อผ้าของมนุษย์ไปสวม ให้แกะเพื่อไม่ให้มันแทะเล็มขนกันเอง" บราวน์เล่าให้ผมฟัง
เมื่อ ไม่มีรากต้นไม้ให้ยึดดิน พื้นที่หลายส่วนของเขตชนบทจึงกลายเป็นทราย เขตทะเลทรายขยายออกไปปีละหลายร้อยกิโลเมตร ทุกวันนี้ พายุทรายในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมกลายเป็นฤดูกาลใหม่สำหรับชาวปักกิ่ง
รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและเร่งดำเนินโครงการรณรงค์ปลูกต้นไม้หลายโครงการ ระหว่างเดินทางทวนแม่น้ำชาว ผมเห็นเนินเขาสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆเหมือนคนเป็นสิวผิวปรุประ พอเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นจุดสีขาวซึ่งความจริงแล้วคือหินขัดที่วางเรียงซ้อนกัน อย่างดีเป็นกระถางต้นไม้ การจัดวางหินเพื่อให้อุ้มน้ำและประคับประคองต้นอ่อนให้ แข็งแรง กระถางเหล่านี้มีหลายแสนใบ นึกไม่ออกเลยว่าต้องใช้แรงงานคนมากมายเพียงใดกว่าจะสร้างสรรค์งานพิสดารเช่น นี้ออกมาได้
แม้งานเหล่านี้จะยังไม่สามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมของแม่น้ำชาวให้ดีขึ้น แต่ยิ่งเดินทางสูงขึ้นไปสภาพแวดล้อมก็เขียวขึ้น ที่หมู่บ้านอันห่างไกล ชายชราเล่าให้เราฟังว่า เมื่อเจ็ดปีก่อน ในหุบเขามีแต่ทราย ต่อมารัฐบาลจ่ายเงินให้ชาวบ้าน 4,000 หยวนเพื่อล้อมคอกสัตว์ไม่ให้เที่ยวกินหญ้า เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว
แต่การเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะสามารถปกป้องสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการคุกคาม ของทะเลทรายได้จริงหรือ แม้ภาคใต้ของจีนจะอุดมสมบูรณ์ดี แต่ ภาคเหนือยังแห้งแล้งอยู่มาก ขณะน้ำในแม่น้ำชาวและสายอื่นๆถูกผันไปหล่อเลี้ยง เมืองต่างๆที่เติบโตขึ้นริมสองฝั่งแม่น้ำ แต่ปักกิ่งต้องหาน้ำมาเลี้ยงตัวเองด้วยการขุดลึกลงไปใต้ดิน ด้วยเหตุนี้ ระดับน้ำใต้ดินจึงพร่องลงไปหลายเมตรเมื่อเกิดภาวะภัยแล้งในช่วงหลายปีที่ ผ่านมา "ในอีกแปดถึงสิบปี หลายเมืองในภาคเหนือจะไม่มีน้ำใช้" หม่า จวิน ผู้เขียนหนังสือ วิกฤตการณ์น้ำในจีน (Chinaีs Water Crisis) คาดการณ์ "รัฐบาลดำเนินโครงการขนาดใหญ่มากมายเพื่อผันน้ำจากแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่ น้ำสาขา แต่โครงการเหล่านี้จะทำให้ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมรุนแรงยิ่งขึ้น"
เมื่อขึ้นไปถึงต้นน้ำของแม่น้ำชาว เราก็ข้ามหุบเขาไปอีกสองสามลูก จากนั้นก็ขับรถกลับปักกิ่งโดยใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำขาวซึ่งแห้งพอๆกัน ระหว่างทางเราเห็นเสาไฟแรงสูงตั้งเรียงรายเป็นแนวยาว หอสูงสร้างด้วยเหล็กกล้าเหล่านี้สร้างต่อๆกันทอดข้ามภูเขาสูงๆต่ำๆเหมือน กำแพงเมืองจีน เมื่อปี 2547 จีนเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 50 กิกะวัตต์ และปี 2548 เพิ่มเป็น 70 กิกะวัตต์ ประมาณว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่จีนพยายามเพิ่มขึ้นในแต่ละปีเท่ากับครึ่ง หนึ่งของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในอินเดีย นับเป็น การเพิ่มปริมาณความต้องการพลังงานมากที่สุดในโลก
พลังงานใหม่เกือบทั้งหมดมาจากถ่านหินซึ่งจีนมีอยู่มหาศาล เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศแผนสร้างเตานิวเคลียร์ปีละสองเตาทุกปีไป ถึงปี 2563 แม้จะบรรลุเป้าหมาย กระแสไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์คิดเป็นเพียงร้อยละสี่ของปริมาณกระแสไฟฟ้าทั้ง ประเทศ ที่สุด จีนก็หันไปเผาถ่านหิน ซึ่งเชื่อว่าปีนี้จะทำสถิติใหม่เกิน 2,000 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม แม้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้ามาป้อนได้สูงสุดขนาดนี้ จีนก็ยังต้องดิ้นรน กระเสือกกระสน เพราะเมื่อปี 2547 ประชาชน 23 มณฑลจากทั้งหมด 31 มณฑลต้องประสบภาวะขาดแคลนไฟฟ้า "ในบางมณฑล โรงงานไฟฟ้าทำงานสัปดาห์ละสามหรือสี่วันเท่านั้น" หยาง ฟู่เฉียง รองประธานมูลนิธิพลังงานซึ่งอยู่ในกรุงปักกิ่ง กล่าว
สาเหตุที่ทำให้จีนต้องการไฟฟ้ามากมายขนาดนี้คงเป็นเพราะเกษตรกรพากันหลั่ง ไหลสู่เมืองใหญ่ หยางกล่าวว่า คำนวณคร่าวๆแล้ว แต่ละปีน่าจะมีคนอพยพมาอยู่ในเมืองใหญ่ไม่น้อยกว่า 20 ล้านคน พวกเขาทำงานหาเงินมาซื้อตู้เย็นเครื่องเล็กๆหรือเครื่องปรับอากาศ คนงานเหล่านี้ทำงานในโรงงานผลิตผ้าม่านห้องน้ำและกระเป๋าเดินทางซึ่งต้องใช้ พลังงานทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่การสร้างกระท่อมคอนกรีตหลังเล็กๆสำหรับซุกหัวนอนก็ต้องใช้ทรัพยากร ร้อยละห้าของเชื้อเพลิงที่ใช้ในเมืองจีนหมดไปกับการผลิตซีเมนต์
ยังมีรถยนต์อีก สิบปีก่อน ในเมืองจีนแทบจะไม่มีรถยนต์ แต่ปัจจุบัน จีนเป็นตลาดรถยนต์อันดับที่สามของโลก ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ยอดขายรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละสิบ พอสิ้นปี สรุปว่ายอดขายทั้งหมด 5.6 ล้านคัน ถ้าอยากไปดูตลาดรถยนต์ใหญ่ๆในปักกิ่ง คุณต้องจอดรถไว้ไกลๆ อาจจอดที่ปั๊มน้ำมันซึ่งมีพนักงานคอยโบกให้เข้าจอด หรือริมถนนที่มีคนขายของส่งโค้กให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมา
ใช่ว่าจีนจะไม่ตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและไร้ ทิศทาง พาน หยู รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า มหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของจีนนั้น "จะพบจุดจบในเร็วๆนี้ เพราะสิ่งแวดล้อมรับมือไม่ไหว ห้าในสิบเมืองที่มีมลภาวะมากที่สุดในโลกอยู่ในจีน พื้นที่หนึ่งในสามของจีนประสบปัญหาฝนกรด ครึ่งหนึ่งของน้ำในแม่น้ำใหญ่ที่สุดเจ็ดสายของจีนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย" แต่หากไม่มีการเติบโตรวดเร็วขนาดนั้น ประเทศก็ไม่สามารถรองรับการหลั่งไหลเข้าสู่เมืองใหญ่ของชาวชนบท จะดึงดูดให้ชาวไร่ชาวนายอมจมปลักอยู่ในที่ดินขนาดไม่ถึงครึ่งไร่ได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาได้ข่าวว่าคนในเมืองกินอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
ด้วย เหตุนี้ จีนจึงต้องดิ้นรนต่อไป ด้านหนึ่งก็ต้องพัฒนาให้รวดเร็วเพียงพอสำหรับการขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัดของ แรงงานอพยพทั้งหลาย ส่วนอีกด้านก็ต้องรักษาสมดุลในการใช้พลังงานและทรัพยากรเพื่อไม่ให้ประเทศ ชาติยับเยินหมดสภาพ
ทางการจีนวางเป้าหมายว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจให้โตสี่เท่าในปี 2563 แต่จะจำกัดการ ใช้พลังงานให้เพิ่มขึ้นเพียงสองเท่า ดูเหมือนเป้าหมายหลังนี้จะเป็นไปได้ยาก เพราะช่วงสองสามปีนี้ยอดกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่อย่างน้อย รัฐบาลระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่ามีการผ่านกฎหมายควบคุมอาคารใหม่ โดยกำหนดว่าอพาร์ตเมนต์ ต่างๆจะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่าอพาร์ตเมนต์รุ่นเก่าถึงร้อยละ 50 นอกจากนั้น รัฐบาลจะหยุดให้เงินอุดหนุนด้านพลังงานแก่อุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย
คืนสุดท้ายที่ผมอยู่ในเซี่ยงไฮ้จบลงที่การเดินเล่นในย่านอาคารเก่าสไตล์ ยุโรปซึ่งเรียงรายหันหน้าไปทางริมแม่น้ำหวงผู่ ฝั่งตรงข้ามคือเขตผู่ตงซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงด้านการพัฒนาเมืองสมัยใหม่ของ จีน สัญลักษณ์อันโดดเด่นของเขตผู่ตงได้แก่หอคอยต่างๆที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับแสง นีออนอันงดงาม เช่น จินเหมาทาวเวอร์ซึ่งมีโรงแรมสูงที่สุดในโลกอยู่บนชั้นสูงสุด 34 ชั้น และโอเรียนทัล เพิร์ล ทีวี ทาวเวอร์ ซึ่งมี ลูกโลกสีชมพูแจ๊ดเปล่งประกายอยู่กลางท้องฟ้า นอกจากนี้ยังมีอาคารออโรราซึ่งติดโทรทัศน์จอยักษ์กลางแจ้งฉายภาพโฆษณาสินค้า อย่างต่อเนื่อง มีคนนับหมื่นยืนดูภาพ ความงดงามเหล่านี้ท่ามกลางความมืด ในที่นี้รวมถึงคนที่เพิ่งมาจากชนบทซึ่งดูออกไม่ยากโดยดูจากเสื้อผ้าโทรมๆ แต่ใบหน้ายังมีน้ำมีนวลผิดกับคนในเมือง
ผมไม่มั่นใจว่าประเทศจีนจะสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาอย่าง รวดเร็วกับการทำลายสิ่งแวดล้อมได้หรือไม่ (พื้นดินในเขตผู่ตงกำลังทรุดตัวหนักเพราะเซี่ยงไฮ้สูบน้ำใต้ดินออกไปใช้มาก เกินไป) แต่ทิวทัศน์ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหวงผู่ก็ช่างเต็มไปด้วยความหวังสำหรับคนที่ ยืนดื่มด่ำกับแสงสียามค่ำคืนเบื้องหน้า
ที่มา http://www.readersdigestthailand.co.th/article/2129