วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข่าวจากพระอาจารย์รัตน์ พบว่าระบบสุริยะได้เปลี่ยนทิศทางการหมุนกลับทิศ เป็นซ้ายไปขวาแบบสมบูรณ์แล้ว ผลก็คือ...

ข้อความในอีเมล์ ที่ได้รับจากลูกศิษย์ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

พระอาจารย์นั่งสมาธิและพบว่า
ระบบสุริยะได้เปลี่ยนทิศทางการหมุนกลับทิศ เป็นซ้ายไปขวาแบบสมบูรณ์แล้ว ผลก็คือ
1. คนที่ไม่เคยชินจะเวียนศีรษะ จะล้ม อาเจียน ความดันจะขึ้น มนุษย์จะต้องหัดหมุนซ้ายไปขวาตาม เพื่อให้สุขภาพดี
2. ผลคือน้ำทะเลจะกระแทกฝั่ง ลาวาจะเปลี่ยนทิศทางการหมุน และปะทุขึ้นเป็นที่ๆ เป็นอันตรายมากๆ
เส้นแรงแม่เหล็กจะพุ่งลงเรื่อยๆ ลองคิดดูว่าจะมีผลตามมาเพียงใด
ทั้งนี้ เหมือนกับ crop circle อันใหม่นี้ที่เขามาเตือนว่าโลกได้เปลี่ยนทิศทางการหมุนแล้ว

ข้างบนนี้เป็นข้อความที่ศิษย์พระอาจารย์รัตน์ส่งมาให้แก่สมาชิก อิงธรรม

เป็นภาวะปัจจุบันของสุริยจักรวาล เมื่อรับทราบข่าวล่าของจักรวาลแล้ว ลองย้อนไปศึกษา สิ่งที่เป็นมาในอดีต

Stone Henge
ชาว มายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่ง ที่สืบเชื้อสาย และมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการเผยแพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลก เป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอต แลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่ง จัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูง ร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยน หินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้ง
สโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีส ในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ ทำสถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อ เรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่ สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้น เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก  เมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี

พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้
เสาหินวงนอก  เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วง หมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้ง กาแลคซี่ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม
เสาหินวงกลางหมาย ถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก   (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศ เหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลก กำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่ เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี.....แล้วทีนี้เราลองมาเจาะลึกดูว่า มันสิ้นสุด 13,000 ปี เมื่อไร?
เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีกครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อย่างสมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี...(ปัจจุบัน สุริยจักรวาล ได้ปรับตัวหมุนรอบตัวจากทางซ้ายไปขวา เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว พระอาจารย์รัตน์ได้พบในสมาธิเมื่อ 1 ก.พ. 2554 นั้น หลังจากชลอการหมุนรอบตัวเองมาตั้งแต่ 2 เม.ย. 2552  ส่วนการเปลี่ยนแปลงของโลก และการสถาปันนาแกนพลังงานโลกใหม่ ย้ายขั้วโลกเหนือใหม่ ก็จะใกล้เข้ามาโดยจะมีดาวหางขนาดใหญ่เข้ามาร่วมวงด้วย ที่กำลังจะมาปรากฏตัวให้เห็นด้วยสายตาของมนุษย์โลก 
ทันทีที่การปรับทิศทางการหมุนรอบตนเองของสุริยจักรวาลเสร็จสิ้น ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม เพื่อนชาวดาวอังคารก็มาทำเครื่องหมายสัญญานเตือนชาวโลกทันที โดยสร้าง Crop Circle ในผืนนาที่ประเทศอินโดนีเซีย ในชั่วเวลาเพียงข้ามคืนทันทีเหมือนกัน)
เครื่องหมายเตือนชาวโลกจากดาวอังตาร เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 2554
ครับนี่คือหน้าตาสัญลักษณ์ เตือนภัยครั้งสุดท้าย ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่พระอาจารย์รัตน์ส่งข่าวล่ามา เมื่อ 1 ก.พ. 2554 ที่ปรากฏอยู่บนสุดของเว็บเพจนี้... ในข้อแรก ที่จะสร้างความมึนงง ให้แก่ประชากรของโลก เนื่องจากความไม่เคยชินกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากท่านอยู่ในขอบเขตของพีระมิดของพระอาจารย์ จะไม่ค่อยรู้สึกถึงผลกระทบมากนักในข้อนี้ หรือหากท่านที่มีพีระมิดส่วนตัว ที่ได้จากการปฏิบัติจิตในวิปัสสนา ก็จะยิ่งปลอดภัยเพิ่มขึ้น...
ในการปรับตัวให้คุ้นชินกับการหมุนซ้ายไปขวาของสุริยจักรวาล ให้ท่านลองนั่งบนเก้าอี้ ยึดตัวให้มั่นคง แล้วลองหมุนส่วนศรีษะจากซ้ายไปขวา หรือหมุนทวนเข็มนาฬิกา ค่อยๆหมุน มันจะมีเสียงลั่นเอียดอ๊าตก็ปล่อยมัน ไม่ต้องเป็นกังวล สักครู่แล้วจะรู้สึกสบายหายมึนงง ไม่ต้องหมุนเร็วค่อยๆหมุน เนื่องจากสุริยจักรวาลมันใหญ่เหมือนกัน การหมุนรอบตัวเองไปพร้อมๆกับดาวเคราะห์ทั้งหมด จึงไม่รวดเร็วแต่หนักแน่น 
ส่วนคำเตือนในข้อที่ 2 นั้นออกจะหนักหนาเอาการ จะเกิดภัยธรรมชาติ ที่มนุษย์จะตั้งรับเพียงอย่างเดียวมากกว่า แต่ขอให้ตั้งรับอย่างมีสติ และค่อยๆติดตามผลที่จะเกิดในภูมิภาคต่างๆของโลกต่อไป สำหรับประเทศไทยกำลังจะได้พบเห็น ปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่างอินโดนีเซีย และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งภูเขาไฟในอินโดนีเซีย ก็เริ่มพ่นควันโขมงแล้ว เที่ยวบินนาๆชาติที่ไปบาหลี ต้องหยุดบิน ไปร่วม 50 เที่ยวแล้ว
ทั้งแถบด้านทิศตะวันตกของประเทศอินโดนีเซีย อุดมไปด้วยภูเขาไฟ อยู่เป็นระยะๆ เมื่อแมกม่าใต้โลกมีการเคลื่อนไหวไปทั่วโลก ตามอุโมงค์ที่เป็นเครือข่ายสัมพันธ์กันทั่วทั้งโลก ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้รับการสงเคราะห์จากพระพุทธองค์พาไปทัวร์ ได้ฟังที่ท่านเล่าให้ฟังแล้ว ก็ไม่ต่างกับถนนหนทางในเมืองใหญ่ๆนั่นเอง เพียงแต่ว่ามันมีขนาดใหญ่ อย่างใต้ประเทศไทยเล็กหน่อยก็กว้างถึง 3 กิโลเมตร แมกม่าเคยโผล่ที่ไหนสะดวก มันก็จะกลับมาในรอบใหม่
ช่องโหว่ตรงกลาง Crop Circle กำลังจะบอกว่า จะมีแผ่นเปลือกโลก ที่ถูกพลังงานจักรวาลบีบอัดจนทนไม่ไหว ต้องจมลงใต้ทะเล
29 ม.ค. 2554 สนามบินบาหลีต้องหยุดบินแล้ว 30 เที่ยว
พระอาจารย์ท่านยกตัวอย่างการบีบอัดของพลังจักรวาล ในลักษณะการบีบหลอดยาสีฟัน  เครื่องหมายของชาวดาวอังคาร แบบที่เกิดขึ้นที่อินโดนีเซียนี้ ชาวมายา เคยโดนเตือนมาก่อน ที่พวกเขาจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ ...เราก็ต้องคอยดูต่อไปว่า อินโดนีเซียและบริเวณใกล้เคียง จะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างอีกไม่นานนัก และพลังจักรวาล ไม่ได้หยุดการบีบอัดเฉพาะในบริเวณประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น มันจะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตรงโน้นผลุบลง ตรงนี้ลอยขึ้น เนื่องจากสนามแม่เหล็กทั่วโลกยุ่งเหยิงแปรปรวนมาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เอง ก็ออกมายืนยันสิ่งที่ตนค้นพบแล้ว ว่าเป็นอย่างนั้นจริง ตรงกันทั้ง ภาควิทยาศาสตร์ทางจิต และนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่วิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ
ฉะนั้น ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่ชาวมายาทำสโตนเฮนซ์เตือนเอาไว้ และชาวโลกอังคารได้ทำ Crop Circle เป็นสัญญานเตือนครั้งสุดท้าย ยืนยันสิ่งที่ชาวมายาเตือนเอาไว้หลายพันปี มันอาจหมายถึงครบรอบ 13,000 ปี ที่ใกล้เข้ามาแล้วใช่ไหม ในพุทธทำนาย ปี 2555 พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้สั้นๆ มนุษย์จะเปลี่ยนจากเดิน เป็นคลาน  ฟังดูแล้วดูจะคล้องจองกันกับการคาดหมายต่างๆขององค์การนาซ่า ที่เปิดเผยบางสิ่งเท่านั้น
วิบัติกาลคราวนี้ที่กำลังจะเกิด ก็ยังไม่มีใครทราบว่าจะรุนแรงขนาดไหน นอกจากสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ที่จะทวีความรุนแรงต่อไป โดยยึดหลักการของพุทธทำนายก็ได้ ว่าสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ปรากฏไปตามครรลองที่ได้ทรงกล่าวไว้หรือไม่ เช่นการเกิดแผ่นดินไหว จะเกิดถี่ขึ้นในหลายๆแห่งทั่วโลก ตามปรากฏการณ์ของโลก  ที่สัตว์ตัวเล็กๆได้เริ่มตายจากไป นับตั้งแต่ประการังทั่วโลก ปลาชนิดต่างๆ นก เป็ดไก่ หมู และจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะมีปรากฏให้เห็น และเมื่อ 11 ม.ค. 2554 ยังมีภาพรายงานจาก หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของอินโดนีเซีย พบ Crop Circle ปรากฏในที่นาของชาวนา มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 70 เมตร
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2554 ผมได้มีโอกาสกราบเรียนถาม ท่านผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ท่านกล่าวว่าเป็นคำเตือนจากเพื่อนชาวต่างดาว เป็นสัญญานครั้งสุดท้าย เช่นเดียวกับที่เคยเตือนชาวมายา ก่อนที่โลกจะเกิดภัยพิบัติ จนกระทั่งชาวมายาได้สูญพันธุ์ไป เมื่อหลายพันปีก่อน แผ่นเปลือกโลกของประเทศอินโดนีเซีย และบริเวณใกล้เคียงกำลังถูกพลังงานจักรวาลบีบอัดลงมาเต็มพิกัดแล้ว จะบีบอัดลักษณะเดียวกับบีบหลอดยาสีฟัน แต่จะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว และแผ่นดินอาจจมลงทะเลในที่สุด ก็อดใจรอก็แล้วกันว่าจะเกิดขึ้นในวันไหน...มิตรชาวดาวอังคารไม่ได้มาทำเรื่องตลก ด้วยเทคโนโลยี่ล้ำหน้าชาวโลกไปหลายร้อยเท่า
เกือบลืมไปในวันนั้นพระอาจารย์รัตน์ พูดถึงลูกศิษย์ในวงการนาซ่า ได้นำ เครื่องเรียกฝน ไปตั้งไว้ที่ รัฐฟลอริดา รัฐนี้จึงปลอดเฮอริเคนเข้ามาในระยะหลังนี้ และอีกบางรัฐฯทางตอนเหนือที่มีหิมะตก เครื่องมือนี้จะช่วยลดจำนวนหิมะให้น้อยลง เช่นตกหนา 7 นิ้วจะเหลือเพียง 2 นิ้ว และท่านอาจารย์ได้ย้ำด้วยว่า  เครื่องนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์ป้องกันภัยพิบัติได้เลย
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ก่อนเกิดพายุนากีสเข้าพม่าในปี 2551 นั้น ในหลวงได้รับสั่งให้หน่วยทำฝนเทียม ในบริเวณชายแดนไทยพม่าตลอดแนวล่วงหน้า 2-3 วัน และมีฝนตกลงมา ฉากความเย็นที่เกิดจากฝนเทียมในบริเวณนั้น ได้ป้องกันพายุเฮอริเคนนากีสไม่ให้เข้ามาในเขตประเทศไทย ทั้งๆที่กำลังลมแรงถึง 240 กม./ชม. กลายเป็นพายุดีเพรสชั่น พื้นที่ภาคเหนือจึงได้รับผลกระทบน้อยมาก มีผลให้เกิดความรุนแรงลดลงไปประมาณ 5 เท่าตัว จากผลงานปิดทองหลังพระของในหลวงรัชกาลที่ 9
เครื่องเรียกฝนของพระอาจารย์รัตน์ก็เช่นกัน ไปเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ตามที่พนักงานกรมอุตุได้นำเครื่องมือไปมอนนิเตอร์ความชื้นของอากาศ ที่แม่ริม ที่ตั้งศูนย์บูรณรักษ์ธรรม  เมื่อปี พ.ศ. 2552 ตอนที่พระอาจารย์รัตน์จัดแถลงข่าวให้ผู้สื่อข่าวได้ชมที่นั่น หลังจากเปิดเครื่องสักพัก ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศจะเพิ่มขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งเมฆรวมตัวเกิดฝนตกลงมาอีกไม่นานนัก
การที่อากาศมีความชื้นเพิ่มขึ้น ทำให้ความรุนแรงของกระแสลมยุบตัว ลดความรุนแรงลง คงเป็นด้วยสาเหตุนี้ ที่รัฐฟลอริดา นับตั้งแต่ลูกศิษย์พระอาจารย์นำเครื่องมือขจัดหมอกควันไปติดตั้ง เพื่อทำงานวิจัย ที่นั่นจึงไม่เกิด พายุเฮอริเคนเข้ามาอีกเลย ปรกติที่นั่นจะโดนทุกปี มากหรือน้อยเท่านั้น
ถ้าจับใจความและความห่วงใยที่พระอาจารย์ย้ำให้ฟัง ว่า อุปกรณ์ที่ท่านทำ เริ่มมีผลงานพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถ ติดตั้งเป็นศูนย์ป้องกันภัยพิบัติได้เลย ในวันนั้นท่านย้ำเรื่องนี้ประมาณ 3 วาระ เจ้าคนฟังก็ยังตามไม่ทันประเด็น บ่งชี้ว่าสติหรือความว่องไวของจิต ยังทิ้งห่างจากผู้เชี่ยวชาญมากอยู่ ต้องมาอาศัยเวลาอีกหลายวัน ถึงเพิ่งถึงบางอ้อ ท่านชี้โพรงให้กระรอกแท้ๆ เจ้ากระรอกก็ยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ ไม่รู้จักโพรงแห่งขุมทรัพย์ที่ท่านอาจารย์กำลังชี้บอกให้ทราบ
88042

พลังงานเส้นแรงแม่เหล็กที่ลงมาเพิ่มมากขึ้นนั้น ตาเรามองไม่เห็น แต่กายสัมผัสได้จากคลื่นความร้อน ที่ร้อนผิดปรกติ มา 10 กว่าปีแล้ว และความร้อนทั่วโลกจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตรงนี้ดูได้จากเส้นกราฟของจำนวน CO2ที่ค่อนข้างตั้งชัน และใกล้ถึงจุดวิกฤตที่ 450 พีพีเอ็ม ...
แล้วปัจจุบัน เรากำลังอยู่ใกล้จุดวิกฤตแล้วใช่ไหม นอกจากนี้ CO2 ยังมีผู้ช่วยที่ร้ายแรงกว่า 21 เท่าตัวอีกจำนวนมหาศาล ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้โลก คือกาซ มีเทน CH4เมื่อน้ำแข็งหนาที่ขั้วโลกที่เคยกลบเจ้ากาซนี่เอาไว้ ละลายเหลือน้ำแข็งบางลง เปิดช่องให้กาซมีเทนจำนวนมหาศาล ที่เก็บอยู่ใต้เปลือกโลก จากการหมักของพืชพันธุ์ไม้ทุกชนิดตั้งแต่ดึกดำบรรณ มีโอกาสเผยโฉมออกมาอาละวาด เป็นตัวเร่งให้เส้นกราฟตั้งชันขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเกิดขึ้นในใต้ท้องทะเลด้วย 
แล้วมนุษย์เราจะมีโอกาสรักษาพื้นที่ส่วนน้อย ที่แวดล้อมเราได้บ้างไหม? หลายๆท่านที่มาถึงตรงนี้คงจะมีคำถามนี้ ทุกปัญหามีคำตอบแต่เราจะไหวตัว เท่าทันกับเวลาที่มีเหลือไม่มากหรือไม่ และเรามีสติปัญญาเข้าใจเรื่องพลังงานที่มองไม่เห็นนั้นเพียงไร...ขอให้ท่านลองย้อนกลับไปอ่านข้อความตัวอักษรสีน้ำตาล และแดงข้างบนอีกครั้งหนึ่ง แล้วท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าท่านจะสามารถพึ่งพาหรือไว้วางใจเ ครื่องมืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ธรรมดาเพียงหนึ่งเดียวของโลกได้หรือไม่ และจะรอดูสรุปผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์คงจะไม่ทันกาล ....ต้องพิจารณาจากผลการใช้งานไปมากกว่า 50 เครื่องแล้ว
ทีนี้เรากลับมาที่แกนโลกกันใหม่
ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่า การที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไป ทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก แต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวัน ออก 26 องศา เพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การมีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่าง คือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูด มายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออก เข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก
แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่ เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิต บนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไป ได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง
ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบ ของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552....และปัจจุบัน 1 ก.พ. 2554 ผลแห่งการอัดตัวแน่นของพลังงานรอบโลก ก็แสดงตนออกมาถึงผลที่เกิดกับสุริยจักรวาล ที่พระอาจารย์รัตน์ท่านมองเห็น และส่งข่าวมาให้ผู้ที่สนใจ ได้ทราบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสุริยจักรวาลที่มีนัยสำคัญ ต่อโลก ซึ่งเป็นสมาชิกใกล้ชิดกับดวงอาทิตย์
สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่
สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล
ระบบ วงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือก ทางทิศตะวันออกมาก ยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุด จะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงเข้าหากาแลคซี่อันโดรเมดา
แต่เนื่องจากกาแลคซี่อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที
ปรากฏการณ์ธรรมชาติด้านแสงที่จะปรากฏขึ้นในอนาคตนั้น รุนแรงกว่าฟ้าผ่า ที่เราคุ้นชิน ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป้นเรื่องของจักรวาลใหญ่มาก ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนจะต้องไม่ลืมคือเสียง ที่ดังมากจะไล่ตามหลังแสงมา ยังไม่ทราบว่าจะเกินร้อยเดซิเบลหรือไม่ เสียงรบกวนโสตประสาทมากๆก็จะประมาณ 60-70 เดซิเบล แล้วอย่างนี้ เพื่อความไม่ประมาท เราควรเตรียมปลั๊กยางสำหรับอุดรูหู เอาไว้ประจำตัว เพื่อป้องกันแก้วหูถูกทำลายกันดีไหม
จาก นั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เคยประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบ เปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตร แองกุลัม  
เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่
โดย มีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมีโอกาสคืนกลับมา เป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว
ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา
ในภาพจำลอง ท่านจะเห็นว่าสุริยจักรวาล ซึ่งโคจรรอบดาวหลุมดำของกาแลกซี่ทางช้างเผือก มาถึงขอบของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม และก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสุริยจักรวาลขั้นแรกขึ้นแล้ว ตามที่พระอาจารย์รัตน์ได้พบในสมาธิ เมื่อ 1 ก.พ.2554 นั้น
การปรับสมดุลต่อไปของสุริยจักรวาล จนเกิดการย้ายขั้วโลกขึ้นนั้น จึงมีแนวโน้มว่าในปลายปี 2555 นั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก น้ำ และอากาศไม่น้อยทีเดียว แต่ชาวดาวอังคารจะร่วมกับชาวโลกบางท่านลดความรุนแรง การพลิกขั้วโลกไม่ให้รุนแรงเหมือนในอดีตที่ขั้วโลกเหนือใต้สลับที่กัน โดยให้ขั้วโลกเหนือใหม่เคลื่อนมาอยู่ที่สฟิงซ์แทน ซึ่งเท่ากับมีการเคลื่อนย้ายเพียง 90 องศาความเสียหายน่าจะรุนแรงน้อยกว่าการสลับขั้วลงไปมาก ทั้งนี้ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าประสพการณ์ของชาวดาวอังคาร ที่มีอายุหลายหมื่นปี เคยรู้เห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง 13,000 ปีที่แล้ว ที่อาณาจักรของชาวแอตแลนตีส ได้จมทะเลไปในปัจจุบัน....และได้เตรียมงานล่วงหน้ามาแล้ว ห้าหกพันปี
ทั้งนี้พลโลกต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าสุริยจักรวาลและกาแลกซี่จะปรับตัวอย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหายิ่งใหญ่ที่รุกเงียบและเป็นภัยร้ายแรงมากๆนั้น คือความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดใกล้ 45 องศาเต็มทน อันจะเกิดผลให้มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ทั่วทั้งโลกเกิดภาวะอดอยากไม่มีอาหารจะกิน ถามว่าทำไม?
  • พืชทุกชนิดไม่สามารถผสมเกษรได้อีกต่อไป ในอุณหภูมิ 45 องศา
  • จึงไม่มีผลหรือเมล็ดให้มนุษย์และสัตว์ได้รับประทานเป็นอาหารนั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ร้ายแรง และรุกเงียบมาโดยตลอด ที่ยังไม่มีผู้นำมาพูดถึงมากนัก ได้พูดกันแต่ว่าโลกมันร้อนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อศึกษาลึกลงไปแล้ว  หากมนุษย์ยังแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ มนุษย์ทั่วโลกก็จะอดอาหารตายแทบหมดโลกทีเดียว จะไปตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส นั่นเองยกเว้นมนุษย์บางกลุ่มที่มีสต๊อกอาหารแคปซูล ที่ใช้กับมนุษย์อวกาศมากพอ หรือมีเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยลดระดับความร้อนลง ไม่ให้ถึง 42 องศาเซ็นเซียส จนกว่าโลกจะได้แกนพลังงานใหม่
1 ก.พ. 2554
ข้อความในอีเมล์ ที่ได้รับจากลูกศิษย์ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ