



งานเสวนา "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด" ที่มหาวิทยาศรีปทุม - 19 ธันวาคม 2553
จากที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า พลังงานที่มนุษย์เราสามารถตรวจสอบได้ชัดเจนในสากลดาราจักร คือ
1) พลังงานนิวเคลียร์อย่างแรง (Strong nuclear force/energy)
2) พลังงานนิวเคลียร์อย่างอ่อน (Weak nuclear force/energy)
3) พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic force/energy)
4) พลังงานแรงดึงดูดระหว่างมวล (Gravitational force/energy)
พระอาจารย์ท่านกล่าวว่าพลังงานจักวาลมีทั้งหมด 7 ชนิดดังนี้
พลังงาน 7 ชนิด คือ (คัดลอกมาอีกทอดหนึ่ง ดังนี้)
1. พลังงานความร้อน
2. พลังงานแสง
3. พลังงานเสียง
4. พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
5. พลังงานปรมาณู
6. พลังงานเส้นแสง
7. การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานแสงเป็นวัตถุ
(ความจริงตัวนี้ คือ หมายเลข 7 ไม่ควรเรียกว่าพลังงาน ควรเรียกว่ากระบวนการ)
ที่จริงแล้ว
พลังงานความร้อนคือ พลังงานกล (หรือ วัตถุสั่นสะเทือน)
และ พลังงานแสงก็คือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
และ พลังงานเสียงคือ พลังงานกล
และ พลังงาน ปรมาณูก็คือ พลังงานนิวเคลียร์อย่างแรง
และ พลังงานเส้นแสง ถือ ว่าเป็นพลังงานในรูปแบบใหม่จริงๆ ว่าไปแล้วคล้ายๆกับพลังงานพลาสมาที่ถูกกักกัน/กักเก็บได้ในสนามแม่เหล็ก เช่นที่ห้องทดลองทางฟิสิกส์พลาสมาของมหาวิทยาลัย Princeton U. แต่มันก็คนละอย่าง คนละชนิดกันเลย
ปรกติแล้ว แรง/พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ทันทีที่เกิดขึ้น ก็กระจาย/เคลื่อนที่ย้ายหนีไปทั่วเอกภพ แต่พลังงานเส้นแสงเป็นพลังงานที่สามารถถูกกักกันและควบคุมได้ เช่นเดียวกันกับพลังงานพลาสมา
ปัญหาอยู่ตรงนี้ พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า แรงดึงดูดของมวลสารแท้ที่จริงแล้ว ก็คือ พลังงานสนามแม่เหล็กอีกชนิดหนึ่ง หรือรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่า แรงดึงดูดนั้น ต้องเป็นปริมาณเวกเตอร์ (คือ มีทั้งขนาดและทิศทาง) และแรง/พลังงานชนิดนี้ของแกแลกซี (Galaxy) ของเรา ได้สอดร้อยเส้นกันทั้งระบบกับกับแกแลกซี Triangulum และแกแลกซีแอนโดรมีดา (Andromeda) ด้วย รูปแกแลกซี Andromeda
1) พลังงานนิวเคลียร์อย่างแรง (Strong nuclear force/energy)
2) พลังงานนิวเคลียร์อย่างอ่อน (Weak nuclear force/energy)
3) พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic force/energy)
4) พลังงานแรงดึงดูดระหว่างมวล (Gravitational force/energy)
พระอาจารย์ท่านกล่าวว่าพลังงานจักวาลมีทั้งหมด 7 ชนิดดังนี้
พลังงาน 7 ชนิด คือ (คัดลอกมาอีกทอดหนึ่ง ดังนี้)
1. พลังงานความร้อน
2. พลังงานแสง
3. พลังงานเสียง
4. พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
5. พลังงานปรมาณู
6. พลังงานเส้นแสง
7. การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานแสงเป็นวัตถุ
(ความจริงตัวนี้ คือ หมายเลข 7 ไม่ควรเรียกว่าพลังงาน ควรเรียกว่ากระบวนการ)
ที่จริงแล้ว
พลังงานความร้อนคือ พลังงานกล (หรือ วัตถุสั่นสะเทือน)
และ พลังงานแสงก็คือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
และ พลังงานเสียงคือ พลังงานกล
และ พลังงาน ปรมาณูก็คือ พลังงานนิวเคลียร์อย่างแรง
และ พลังงานเส้นแสง ถือ ว่าเป็นพลังงานในรูปแบบใหม่จริงๆ ว่าไปแล้วคล้ายๆกับพลังงานพลาสมาที่ถูกกักกัน/กักเก็บได้ในสนามแม่เหล็ก เช่นที่ห้องทดลองทางฟิสิกส์พลาสมาของมหาวิทยาลัย Princeton U. แต่มันก็คนละอย่าง คนละชนิดกันเลย
ปรกติแล้ว แรง/พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ทันทีที่เกิดขึ้น ก็กระจาย/เคลื่อนที่ย้ายหนีไปทั่วเอกภพ แต่พลังงานเส้นแสงเป็นพลังงานที่สามารถถูกกักกันและควบคุมได้ เช่นเดียวกันกับพลังงานพลาสมา
ปัญหาอยู่ตรงนี้ พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า แรงดึงดูดของมวลสารแท้ที่จริงแล้ว ก็คือ พลังงานสนามแม่เหล็กอีกชนิดหนึ่ง หรือรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่า แรงดึงดูดนั้น ต้องเป็นปริมาณเวกเตอร์ (คือ มีทั้งขนาดและทิศทาง) และแรง/พลังงานชนิดนี้ของแกแลกซี (Galaxy) ของเรา ได้สอดร้อยเส้นกันทั้งระบบกับกับแกแลกซี Triangulum และแกแลกซีแอนโดรมีดา (Andromeda) ด้วย รูปแกแลกซี Andromeda

ณ วันนั้น วันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012 ท่านพยากรณ์ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ศูนย์กลางแกแลกซีของเราจะเปล่งแสงไปทั่วและจะมีผลกระทบต่อกระบวนการของดวงอาทิตย์และสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ของเราด้วย และ ณ วันนั้นอาจจะเกิดมาวิปโยคและภัยพิบัติขึ้นทั่วโลกของเรา คือ (1) น้ำท่วม (2)ขั้วแม่เหล็กเปลี่ยนทิศ (3)โลกอาจหยุดหมุนชั่วขณะและทิศตะวันออกที่เราเห็นๆอยู่อาจกลายเป็นทิศใต้ หรือ เหนือไปก็ได้
เนื่องจากว่า แรงดึงดูดตามทฤษฎีของพระอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก เพราะว่า โดยหลักความรูทั่วไปที่เราทราบชัดเจนแล้ว แรงดึงดูดระหว่างมวล เป็นปริมาณสเกลาร์ (scalar) ซึ่งไม่ว่าคุณจะคำนวณอย่างไรแล้ว ระยะทาง GMD (geometric mean distance หรือ ระยะทางเรขาคณิต คือ ระยะประสิทธิผลของการคำนวณ) ของ แกแลกซีทั้ง 3 คือ (andromeda, Triangulum และ แกแลกซีของเรา) ที่มีผลเชิงแรงดึงดูดต่อระบบสุริยะและโลกของเรา น่าจะมีความแตกต่างระหว่าง แรงลัพธ์ของวันนี้ และวันที่ 12-12-2012 น้อยมากๆๆ..จนแทบจะไม่เห็นความแตกต่างของแรงลัพธ์ที่จะทำให้เกิดวันมหาวิปโยคในวันนั้นได้เลย! แต่ถ้าเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวลแบบเวกเตอร์เช่นนั้น โอกาสความแปรปรวนรุณแรงย่อมมีสูง(แบบสเกลาร์)กว่าแน่นอน
อนึ่ง อย่างไรก็ตาม พวก Aliens คือมนุษย์ต่างดาวจากกลุ่มดาว Pleiades ได้เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า แท้จริงแล้ว แรงดึงดูดระหว่างมวลก็คือ แรงสนามแม่เหล็กในอีกรูปแบบหนึ่ง และ พลังงานเส้นแสงก็มีอยู่จริง เช่นกัน
ไม่ของลงความเห็น แต่ทิ้งไว้ให้เป็นข้อสังเกต ที่สำคัญ
ปล. พลังงานเส้นแสง นั้น ก็เหมือนกับ กลุ่มก้อนความหนาแน่นพลังงานแสง คล้ายกับ การเปลี่ยนน้ำแข็งให้เป็นน้ำ และ เปลี่ยนน้ำกลับเป็นน้ำแข็งได้เช่นเดิม พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า ชาวแอตแลนติสสมัยนั้น เข้าถึงรูปแบบของพลังงานตัวนี้ จึงสามารถ เปลี่ยน “(พลังงาน)ก้อนหิน” ให้เปลี่ยน “(พลังงาน)ก้อนแสง” แล้วนำไปวางไว้บนปิรามิดเป็นชั้นๆขึ้นไป พอวางเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนจาก “ก้อนแสง” ให้กลับเป็นก้อนหิน เช่นเดิมได้ ... จะจริงหรือไม่ / จะมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าหรือเปล่า อนาคตคงจะมีคำตอบให้กับมนุษย์เรา อาจมีสักวัน..
เนื่องจากว่า แรงดึงดูดตามทฤษฎีของพระอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก เพราะว่า โดยหลักความรูทั่วไปที่เราทราบชัดเจนแล้ว แรงดึงดูดระหว่างมวล เป็นปริมาณสเกลาร์ (scalar) ซึ่งไม่ว่าคุณจะคำนวณอย่างไรแล้ว ระยะทาง GMD (geometric mean distance หรือ ระยะทางเรขาคณิต คือ ระยะประสิทธิผลของการคำนวณ) ของ แกแลกซีทั้ง 3 คือ (andromeda, Triangulum และ แกแลกซีของเรา) ที่มีผลเชิงแรงดึงดูดต่อระบบสุริยะและโลกของเรา น่าจะมีความแตกต่างระหว่าง แรงลัพธ์ของวันนี้ และวันที่ 12-12-2012 น้อยมากๆๆ..จนแทบจะไม่เห็นความแตกต่างของแรงลัพธ์ที่จะทำให้เกิดวันมหาวิปโยคในวันนั้นได้เลย! แต่ถ้าเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวลแบบเวกเตอร์เช่นนั้น โอกาสความแปรปรวนรุณแรงย่อมมีสูง(แบบสเกลาร์)กว่าแน่นอน
อนึ่ง อย่างไรก็ตาม พวก Aliens คือมนุษย์ต่างดาวจากกลุ่มดาว Pleiades ได้เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า แท้จริงแล้ว แรงดึงดูดระหว่างมวลก็คือ แรงสนามแม่เหล็กในอีกรูปแบบหนึ่ง และ พลังงานเส้นแสงก็มีอยู่จริง เช่นกัน
ไม่ของลงความเห็น แต่ทิ้งไว้ให้เป็นข้อสังเกต ที่สำคัญ
ปล. พลังงานเส้นแสง นั้น ก็เหมือนกับ กลุ่มก้อนความหนาแน่นพลังงานแสง คล้ายกับ การเปลี่ยนน้ำแข็งให้เป็นน้ำ และ เปลี่ยนน้ำกลับเป็นน้ำแข็งได้เช่นเดิม พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า ชาวแอตแลนติสสมัยนั้น เข้าถึงรูปแบบของพลังงานตัวนี้ จึงสามารถ เปลี่ยน “(พลังงาน)ก้อนหิน” ให้เปลี่ยน “(พลังงาน)ก้อนแสง” แล้วนำไปวางไว้บนปิรามิดเป็นชั้นๆขึ้นไป พอวางเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนจาก “ก้อนแสง” ให้กลับเป็นก้อนหิน เช่นเดิมได้ ... จะจริงหรือไม่ / จะมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าหรือเปล่า อนาคตคงจะมีคำตอบให้กับมนุษย์เรา อาจมีสักวัน..

แกแลกซีไทรแองกูลัม (Triangulum)