2012 and The “Secret Sciences"ปี 2012 กับ “วิทยาศาสตร์ลี้ลับ”
มีอยู่หลายสถานที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิทั้งหลาย
กำลังทำการค้นคว้าวิจัยที่เป็นความลับอยู่ สถานที่ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่
- แอเรีย 51 ใกล้ๆเมืองรีโน (Reno) รัฐเนวาด้า
- ฐานทัพอากาศ ไวท์-แพทเตอร์สัน (Wright – Patterson Air Force Base) ในรัฐโอไฮโอ้
- ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base) ใกล้รัฐลาสเวกัส
- ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อะลามอส (Los Alamos National Laboratory) ในลอส อะลามอส ใกล้รัฐนิวเม็กซิโก
- ฐานทัพอากาศ เคิร์ทแลนด์ (Kirtland Air Force Base) ในเมืองอัลเบอเคอร์กี้ (Albuquerque)
(ดร.ดาน บูริชช์ - Dr.Dan Burisch)มีอยู่หลายสถานที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ ที่มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิทั้งหลาย
กำลังทำการค้นคว้าวิจัยที่เป็นความลับอยู่ สถานที่ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่
- แอเรีย 51 ใกล้ๆเมืองรีโน (Reno) รัฐเนวาด้า
- ฐานทัพอากาศ ไวท์-แพทเตอร์สัน (Wright – Patterson Air Force Base) ในรัฐโอไฮโอ้
- ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base) ใกล้รัฐลาสเวกัส
- ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อะลามอส (Los Alamos National Laboratory) ในลอส อะลามอส ใกล้รัฐนิวเม็กซิโก
- ฐานทัพอากาศ เคิร์ทแลนด์ (Kirtland Air Force Base) ในเมืองอัลเบอเคอร์กี้ (Albuquerque)
งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ที่เคยทำงานในแอเรีย 51 มานานถึง 19 ปี
ค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา สู่สายตาชาวโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเขาเชื่อว่า “พวกเราจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้”
เขาเชื่อว่ามนุษย์โลก กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จุดที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่วิกฤติ ด้านวิวัฒนาการ
ซึ่งจะไปถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และเขาต้องการให้พวกเราสามารถเลือกทางเลือกได้ถูกต้อง
เมื่อพวก เราต้องเผชิญกับทางเลือก ที่จะมีผลกระทบอันมหาศาลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ ดร.บูริชช์ (Dr.Burisch) ได้เรียนรู้จากงานวิจัยที่พิเศษจริงๆ
กับสิ่งมีชีวิตจากระบบดวงดาวหนึ่ง ที่รู้จักในนามของกลุ่มดาว เซต้า เรติคูลั่ม (Zeta Reticulum)
ภาพทางซ้าย มือในรูปนี้ เป็นภาพสเก็ตของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว ที่รู้จักกันในนาม เจ-ร็อด (J-Rod)
ซึ่งเป็นผู้ที่ดร.บูริชช์ ร่วมงานด้วยเป็นเวลา 1 ปี ในปี 1992 – 1993 ส่วนภาพสเก็ตทางขวามือในรูปนี้
คือหน้าตาปกติของสิ่งมีชีวิตบนกลุ่มดาวเซต้า
รูปทางซ้ายมือในรูป หรือ เจ-ร็อด เขาป่วยเพราะเกิดความผิดปกติบางอย่างในระดับพันธุกรรมของเขา
ทำให้เขาพิการ และมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติไป
สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ เคยร่วมงานวิจัยทั้งในแอเรีย 51 และห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อะลามอส
เพื่อช่วยให้ทั้งสองที่ก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการบิน และโปรเจ็คทางการรบอื่นๆ
ดร.บู ริชช์ กล่าวว่า การร่วมมือกันของสิ่งมีชีวิตจากกลุ่มดาวเซต้า และมนุษย์โลก
เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในโครงการแลกเปลี่ยน ระหว่างอารยะธรรมของพวกเขา
กับกลุ่ม มนุษย์ลึกลับกลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวอเมริกัน ที่รู้จักกันในนามของ
“ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 12” (The Majestic 12)
เรื่องเล่าของดร.บูริชช์ เกี่ยวกับเจ-ร็อด และปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทของเขา
มัน ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เมื่อฉันได้พบมันโดยบังเอิญเป็นครั้งแรก
เจ-ร็อดและดร.บูริชช์ เคยสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทางโทรจิต ในช่วงที่พวกเขายังร่วมงานกันอยู่
และนี่คือสิ่งที่ Dan ได้เรียนรู้มา
เจ-ร็อด บอกว่า จักรวาลมีเส้นเวลาหลายเส้น, มีหลายมิติหรือโลกแห่งความเป็นจริง,
ซึ่ง ค่อนข้างจะแตกต่างจากสิ่งที่พวกเราเชื่อกัน ว่ามิติของพวกเรา คือมิติเดียวที่มีอยู่ในจักรวาล
เจ-ร็อดบอก ดร.บุริชช์ว่า เขามาจากเส้นเวลาอื่น ในที่ๆปี 2012 ได้เกิดขึ้นแล้ว
ก่อนที่ จะถึงปี 2012 ของอารยะธรรมของพวกเขาไม่นาน โลกได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของเปลือกโลก(Catastrophic changes - หรือภัยพิบัติ ครั้งใหญ่ – Chayutt)
เจ-ร็อด เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เกิดจากสิ่งที่สามารถป้องกันได้
เช่น การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์หลายลูก เป็นต้น
และเพราะผล ของการเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ มนุษย์โลกได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ได้แก่ ส่วนที่มีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณสูง ได้อพยพไปสู่กลุ่มดวงนายพราน (Orion star system)
ส่วนมนุษย์โลกอีกกลุ่ม หนึ่ง คือกลุ่มที่มีพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ทีแรกก็อพยพไปอยู่ที่ดาวอังคาร
จาก นั้นก็ได้อพยพไปอยู่ที่กลุ่มดาวเซต้า
เจ-ร็อด เป็นผู้หนึ่งที่มาจากกลุ่มที่มีเทคโนโลยี ที่เคยอพยพไปอยู่บนดาวอังคารมาแล้ว แล้วจึงอพยพไปอยู่บนดาวเซต้า
และได้รับทุกข์ทรมาน เพราะระบบพันธุกรรมได้รับความเสียหาย จากภัยพิบัติในครั้งโน้น
อารยะธรรมของเขาสามารถควบคุมกาลเวลาได้ และเขาเอง คือผู้หนึ่งที่อาสาเดินทางย้อนเวลามา
ให้มาถึงก่อนปี 2012 เพื่อป้องกันการเกิดภัยพิบัติ ที่อารยะธรรมของเขาเคยเผชิญมาเมื่อครั้งปี 2012 โน้น
เขายังหวังอยู่ว่า งานวิจัยของเขากับดร.บูริชช์ จะสามารถช่วยเยียวยาปัญหาทางพันธุกรรม
ของระบบประสาทของอารยะธรรมของเขาได้
เจ-ร็อด ชี้ว่า ภาพทั้งหลาย ในชุด “ใบ หน้าบนดาวอังคาร” ข้างล่างนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น
ซึ่งเป็นผู้ที่ดร.บูริชช์ ร่วมงานด้วยเป็นเวลา 1 ปี ในปี 1992 – 1993 ส่วนภาพสเก็ตทางขวามือในรูปนี้
คือหน้าตาปกติของสิ่งมีชีวิตบนกลุ่มดาวเซต้า
รูปทางซ้ายมือในรูป หรือ เจ-ร็อด เขาป่วยเพราะเกิดความผิดปกติบางอย่างในระดับพันธุกรรมของเขา
ทำให้เขาพิการ และมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติไป
สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ เคยร่วมงานวิจัยทั้งในแอเรีย 51 และห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อะลามอส
เพื่อช่วยให้ทั้งสองที่ก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการบิน และโปรเจ็คทางการรบอื่นๆ
ดร.บู ริชช์ กล่าวว่า การร่วมมือกันของสิ่งมีชีวิตจากกลุ่มดาวเซต้า และมนุษย์โลก
เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในโครงการแลกเปลี่ยน ระหว่างอารยะธรรมของพวกเขา
กับกลุ่ม มนุษย์ลึกลับกลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวอเมริกัน ที่รู้จักกันในนามของ
“ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 12” (The Majestic 12)
เรื่องเล่าของดร.บูริชช์ เกี่ยวกับเจ-ร็อด และปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทของเขา
มัน ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เมื่อฉันได้พบมันโดยบังเอิญเป็นครั้งแรก
เจ-ร็อดและดร.บูริชช์ เคยสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทางโทรจิต ในช่วงที่พวกเขายังร่วมงานกันอยู่
และนี่คือสิ่งที่ Dan ได้เรียนรู้มา
เจ-ร็อด บอกว่า จักรวาลมีเส้นเวลาหลายเส้น, มีหลายมิติหรือโลกแห่งความเป็นจริง,
ซึ่ง ค่อนข้างจะแตกต่างจากสิ่งที่พวกเราเชื่อกัน ว่ามิติของพวกเรา คือมิติเดียวที่มีอยู่ในจักรวาล
เจ-ร็อดบอก ดร.บุริชช์ว่า เขามาจากเส้นเวลาอื่น ในที่ๆปี 2012 ได้เกิดขึ้นแล้ว
ก่อนที่ จะถึงปี 2012 ของอารยะธรรมของพวกเขาไม่นาน โลกได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของเปลือกโลก(Catastrophic changes - หรือภัยพิบัติ ครั้งใหญ่ – Chayutt)
เจ-ร็อด เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เกิดจากสิ่งที่สามารถป้องกันได้
เช่น การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์หลายลูก เป็นต้น
และเพราะผล ของการเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ มนุษย์โลกได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ได้แก่ ส่วนที่มีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณสูง ได้อพยพไปสู่กลุ่มดวงนายพราน (Orion star system)
ส่วนมนุษย์โลกอีกกลุ่ม หนึ่ง คือกลุ่มที่มีพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ทีแรกก็อพยพไปอยู่ที่ดาวอังคาร
จาก นั้นก็ได้อพยพไปอยู่ที่กลุ่มดาวเซต้า
เจ-ร็อด เป็นผู้หนึ่งที่มาจากกลุ่มที่มีเทคโนโลยี ที่เคยอพยพไปอยู่บนดาวอังคารมาแล้ว แล้วจึงอพยพไปอยู่บนดาวเซต้า
และได้รับทุกข์ทรมาน เพราะระบบพันธุกรรมได้รับความเสียหาย จากภัยพิบัติในครั้งโน้น
อารยะธรรมของเขาสามารถควบคุมกาลเวลาได้ และเขาเอง คือผู้หนึ่งที่อาสาเดินทางย้อนเวลามา
ให้มาถึงก่อนปี 2012 เพื่อป้องกันการเกิดภัยพิบัติ ที่อารยะธรรมของเขาเคยเผชิญมาเมื่อครั้งปี 2012 โน้น
เขายังหวังอยู่ว่า งานวิจัยของเขากับดร.บูริชช์ จะสามารถช่วยเยียวยาปัญหาทางพันธุกรรม
ของระบบประสาทของอารยะธรรมของเขาได้
เจ-ร็อด ชี้ว่า ภาพทั้งหลาย ในชุด “ใบ หน้าบนดาวอังคาร” ข้างล่างนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น
สิ่งก่อสร้างนี้, แท่งแก้วนี้, ปิรามิดนี้ เป็นที่รู้จักกันในนามของ “ใบหน้าบนดาวอังคาร” (The face on Mars)
และสิ่งก่อ สร้างนี้ รู้จักกันในนาม “เมืองอินคา” (Inca City) คือส่วนที่เหลืออยู่ของอารยะธรรมของเขา
หลังจากที่ได้อพยพไปจากโลกสู่ดาวอังคาร
“ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 12” ยินยอมให้ดร.บูริชช์เปิดเผยงานวิจัยของเขาที่ทำร่วมกับเจ-ร็อดหลายส่วน
เพราะว่า กำหนดการณ์ที่ได้ทำสนธิสัญญาไว้กับอารยะธรรมของเจ-ร็อดว่า
จะต้องเปิดเผยเรื่องการมาอยู่บนโลกของพวกเขาในปี 2005
ดร.บูริชช์ ยังได้รับความช่วยเหลือ ในกระบวนการเปิดเผยข้อมูลนี้ จากวิลเลี่ยม ฮามิลตั้น 3 (William Hamilton III)
ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และนักวิจัย ผู้ที่ฉันเคยได้ไปฟังเขาบรรยายในแอตแลนต้า ในปี 2005
และยังได้เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา อยู่หลายชั่วโมงเกี่ยวกับงานของเขา
บิล ได้นำวีดีโอเทปความยาว ชั่วโมงครึ่งเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ ดร.ดาน บูริชช์
เกี่ยวกับงานวิจัยของเขาและความสัมพันธ์กับเจ-ร็อด มาให้ฉันดู และฉันก็พบว่า มันเชื่อถือได้เลยทีเดียว
หลังจากที่ได้อพยพไปจากโลกสู่ดาวอังคาร
“ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 12” ยินยอมให้ดร.บูริชช์เปิดเผยงานวิจัยของเขาที่ทำร่วมกับเจ-ร็อดหลายส่วน
เพราะว่า กำหนดการณ์ที่ได้ทำสนธิสัญญาไว้กับอารยะธรรมของเจ-ร็อดว่า
จะต้องเปิดเผยเรื่องการมาอยู่บนโลกของพวกเขาในปี 2005
ดร.บูริชช์ ยังได้รับความช่วยเหลือ ในกระบวนการเปิดเผยข้อมูลนี้ จากวิลเลี่ยม ฮามิลตั้น 3 (William Hamilton III)
ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และนักวิจัย ผู้ที่ฉันเคยได้ไปฟังเขาบรรยายในแอตแลนต้า ในปี 2005
และยังได้เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา อยู่หลายชั่วโมงเกี่ยวกับงานของเขา
บิล ได้นำวีดีโอเทปความยาว ชั่วโมงครึ่งเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ ดร.ดาน บูริชช์
เกี่ยวกับงานวิจัยของเขาและความสัมพันธ์กับเจ-ร็อด มาให้ฉันดู และฉันก็พบว่า มันเชื่อถือได้เลยทีเดียว