Changes in Our Solar Systemการเปลี่ยนแปลงในระบบสุริยะของเรา
จากการศึกษาระบบสุริยะของเรา ได้ทำให้เกิดคำถามต่างๆขึ้นมากมายในหลายๆด้าน
วงการวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นกับดวงดาวทุกดวง
ในระบบสุริยะของเราอย่างมีนัยสำคัญ
ดวงอาทิตย์ (Sun):
สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ มีความเข้มขึ้นกว่า 230% จากที่เคย เมื่อเทียบกับช่วงต้นๆของศตวรรษที่ 19จากการศึกษาระบบสุริยะของเรา ได้ทำให้เกิดคำถามต่างๆขึ้นมากมายในหลายๆด้าน
วงการวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นกับดวงดาวทุกดวง
ในระบบสุริยะของเราอย่างมีนัยสำคัญ
ดวงอาทิตย์ (Sun):
ปฏิกิริยาด้านพลังงานโดยรวมทั้งหมดของมัน ได้เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมาก
การสร้างปฏิกิริยาอย่างบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ทำให้การพยากรณ์อย่างเป็นทางการ
ของ NASA เป็นไปด้วยความลำบาก
ดาวศุกร์ (Venus):
โลก (Earth):
ประมาณปี 1994 มันเริ่มสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า
มัน อาจจะไปเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน (global warming) และภาวะเรือนกระจก (green house effect)
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ น้ำแข็งขั้วโลกได้บางลงกว่า 40% ด้วยเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย
ไม่สามารถอธิบายได้
หรือรูปวงรีตรงบริเวณขั้วโลก ก็กลับกลายมาเป็นรูปทรงเหมือนฟักทอง หรือแบนมากขึ้นตรงบริเวณขั้วโลก
ดาวอังคาร (Mars):
ภาพถ่ายระยะใกล้ของดาวอังคารภาพนี้ แสดงให้เห็นว่า น้ำแข็งที่ขั้วทั้ง 2 ของมัน ได้ละลายไปภายในปีเดียว
ก็เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 200% เมื่อเทียบกับเมื่อปี 1997
ดาวพฤหัส (Jupiter):
และสามารถมองเห็นได้ อยู่ตรงบริเวณทางโคจรของดวงจันทร์ไอโอของมัน
ซึ่งวงแหวนที่ว่านี้ของมันเรืองแสงได้ในความมืด
ขนาดของสนามแม่เหล็กของดาวพฤหัสตอนนี้ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อปี 1992
ดาวเสาร์ (Saturn):
บริเวณขั้วของมัน มีความสว่างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และความเข้มของสนามแม่เหล็กของมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างปี 1980 – 1996 อัตราการหมุนของกลุ่มเมฆหมอก ที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรของมัน
ลดลงอย่างมากมายมหาศาล คือ 58.2% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด
และอย่างมากมายของภูมิอากาศของมัน
(และเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการค้นพบอีกว่า รอบๆดาวเสาร์ เกิดมีวงแหวนวงใหม่ขนาดใหญ่มหึมา
ล้อมรอบมันอยู่อีกวงแล้วครับ - chayutt)
ดาวยูเรนัส (Uranus):
ทำให้มันกลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยพลัง และมีกลุ่มเมฆหมอกที่สว่างที่สุดในจำนวนดวงดาว
ที่อยู่รอบด้านนอกของระบบสุริยจักรวาลทั้งหมด
NASA ยังได้กล่าวอีกว่า ถ้าฤดูใบไม้ผลิของโลกเป็นเหมือนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนดาวยูเรนัส
เราก็จะได้เผชิญกับคลื่นของพายุใหญ่มากมาย ซึ่งแต่ละลูกก็มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ
จากรัฐแคนซัส ถึงนิวยอร์กเลยทีเดียว และอุณหภูมิของมันก็จะประมาณติดลบ 300 องศา
ยานอวกาศชื่อ Voyager 2 ของ NASA ได้ชี้บ่งว่า ทั้งดาวยูเรนัส และเนปจูน
ได้เกิดการเปลี่ยนตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กไป โดยที่ดาวยูเรนัสขั้วแม่เหล็กเปลี่ยนตำแหน่งไปประมาณ 60 องศา
ส่วนของดาวเนปจูนเปลี่ยนไป 50 องศา
ดาวเนปจูน (Neptune):
ตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา ดาวเนปจูน ได้สว่างขึ้นกว่าเดิมประมาณ 40% ในช่วงคลื่นอินฟราเรด
และสว่างขึ้น 100% ในบางพื้นที่บนพื้นผิวของมัน ดวงจันทร์ของดาวเนปจูนที่ชื่อไตรตัน (Triton)
ได้มีการเพิ่มขึ้นของความดัน และอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศของมันอย่างมาก
คือประมาณ 22 องศาฟาเรนไฮท์ เมื่อเทียบกับโลก
ดาวพลูโต (Pluto):
ณ.เดือนกันยายน 2002 ดาวพลูโต มีความดันในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นจากเดิม 300%
เมื่อเทียบกับเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และจึงทำให้สีของมันเข้มกว่าเดิม
แหล่งข้อมูลแหล่งแรก ที่ฉันได้ไปพบข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆทั่วทั้งกาแล็กซี่ของเรา
ที่ถูกรวบรวมไว้ในที่เดียว ก็คือในหนังสือและในเวปไซท์ของนายเดวิด วิลค็อค (David Wilcock)
เดวิด ซึ่งมีอายุแค่ 32 ปี ได้สร้างแบบจำลองของวิวัฒนาการ บนพื้นฐานของหลักการ
การออกแบบโดยผู้ทรงภูมิปัญญา (Principle of Intelligence Design)
ซึ่งหมายถึง มันมีลำดับขั้น และสามารถพยากรณ์ได้ในจักรวาล เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจ
โดยผู้ทรงภูมิปัญญา
หลายสิ่งหลายอย่างที่เดวิด วิลค็อค และคนอื่นๆกำลังค้นพบอยู่ ก็คือใจกลางกาแล็กซี่
กำลังแผ่พลังงานคลื่นบิดเกลี่ยว (Torsion wave energy) ออกมา
พวกเขาเชื่อว่า มันสามารถจะทำให้เกิดการกระโดดข้ามมิติจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้
ซึ่งการกระโดดข้ามมิติ จะเกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเวลา (time travel) ด้วย
อีกแหล่งข้อมูลหนึ่ง ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ดีๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนระดับในครั้งนี้
ก็คือของ Russell Boulding ฉันรู้สึกว่าผลงานและปณิทานของเขาถูกใจฉันมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อความที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของเขา และความคิดของเขา
ที่มีเกี่ยวกับวิธีการเข้าร่วมกับมันอย่างมีสติ สัมปชัญญะ งานของเขาอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ใจกว้าง
รัซเซล (Russell) ได้พัฒนาหลักฐานที่น่าสนใจบางอย่าง ที่มาจากงานวิจัยเพื่อเขียนหนังสือของเขาเอง
ที่ชื่อว่า “การเตรียมการเพื่อการเปลี่ยนระดับครั้งใหญ่” (Preparing for the Great Shift)
- การเปลี่ยนระดับที่ว่านี้ อาจจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1987 ตอนที่เกิดเหตุการณ์ “การมาบรรจบกันอย่างสอดคล้อง”
(Harmonic Convergence) ของดวงดาว 8 ดวงในระบบสุริยจักรวาลของเราตอนโน้น
- ดาวเคราะห์โลกอาจจะอยู่ในมิติที่ 4 หรือ 5 แล้วก็ได้ แต่ว่ายังถูกฉายภาพอยู่ในมิติที่ 3
ที่ชีวิตกำลังปรับให้เข้ากับคลื่นความถี่ที่สูงกว่าอยู่
- เส้นเวลาของอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนกำลังถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน
- ไม่ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนระดับไปอย่างไร ล้วนแต่จะส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการของทั้งจักรวาลทั้งสิ้น
(ปล.ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เดี๋ยวผมจะเอาของ
David Wilcock และของ Russell Boulding มาลงเพิ่มให้ทีหลังนะครับ
ข้อมูลเขามีเยอะมากๆ...Chayutt)
เมื่อเทียบกับเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และจึงทำให้สีของมันเข้มกว่าเดิม
แหล่งข้อมูลแหล่งแรก ที่ฉันได้ไปพบข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆทั่วทั้งกาแล็กซี่ของเรา
ที่ถูกรวบรวมไว้ในที่เดียว ก็คือในหนังสือและในเวปไซท์ของนายเดวิด วิลค็อค (David Wilcock)
เดวิด ซึ่งมีอายุแค่ 32 ปี ได้สร้างแบบจำลองของวิวัฒนาการ บนพื้นฐานของหลักการ
การออกแบบโดยผู้ทรงภูมิปัญญา (Principle of Intelligence Design)
ซึ่งหมายถึง มันมีลำดับขั้น และสามารถพยากรณ์ได้ในจักรวาล เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจ
โดยผู้ทรงภูมิปัญญา
หลายสิ่งหลายอย่างที่เดวิด วิลค็อค และคนอื่นๆกำลังค้นพบอยู่ ก็คือใจกลางกาแล็กซี่
กำลังแผ่พลังงานคลื่นบิดเกลี่ยว (Torsion wave energy) ออกมา
พวกเขาเชื่อว่า มันสามารถจะทำให้เกิดการกระโดดข้ามมิติจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้
ซึ่งการกระโดดข้ามมิติ จะเกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเวลา (time travel) ด้วย
อีกแหล่งข้อมูลหนึ่ง ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ดีๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนระดับในครั้งนี้
ก็คือของ Russell Boulding ฉันรู้สึกว่าผลงานและปณิทานของเขาถูกใจฉันมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อความที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของเขา และความคิดของเขา
ที่มีเกี่ยวกับวิธีการเข้าร่วมกับมันอย่างมีสติ สัมปชัญญะ งานของเขาอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ใจกว้าง
รัซเซล (Russell) ได้พัฒนาหลักฐานที่น่าสนใจบางอย่าง ที่มาจากงานวิจัยเพื่อเขียนหนังสือของเขาเอง
ที่ชื่อว่า “การเตรียมการเพื่อการเปลี่ยนระดับครั้งใหญ่” (Preparing for the Great Shift)
- การเปลี่ยนระดับที่ว่านี้ อาจจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1987 ตอนที่เกิดเหตุการณ์ “การมาบรรจบกันอย่างสอดคล้อง”
(Harmonic Convergence) ของดวงดาว 8 ดวงในระบบสุริยจักรวาลของเราตอนโน้น
- ดาวเคราะห์โลกอาจจะอยู่ในมิติที่ 4 หรือ 5 แล้วก็ได้ แต่ว่ายังถูกฉายภาพอยู่ในมิติที่ 3
ที่ชีวิตกำลังปรับให้เข้ากับคลื่นความถี่ที่สูงกว่าอยู่
- เส้นเวลาของอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนกำลังถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน
- ไม่ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนระดับไปอย่างไร ล้วนแต่จะส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการของทั้งจักรวาลทั้งสิ้น
(ปล.ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เดี๋ยวผมจะเอาของ
David Wilcock และของ Russell Boulding มาลงเพิ่มให้ทีหลังนะครับ
ข้อมูลเขามีเยอะมากๆ...Chayutt)