สตาร์ซีด ของจริงจะมีชิปของจริง ติดตัวมาแต่กำเหนิด ถ้าโดนฝังชิปภายหลังจากไปเข้ากลุ่ม...... ไม่ใช่สตาร์ซีด แต่เป็นเหยื่อของฝ่ายมืด ด้วยความปราถนาดีจาก เทพพิทักษ์จักวาล แห่งกองกำลังป้องกันแกแลคซี่ ดาวแอสทรา
ไปเอามาจากไหนหนอจ้าวนี้..
ที่ว่า Star seed จะต้องมีชิปฝังอยู่มาตั้งแต่กำเนิด
ผมอ่านและแปลข้อความพวกนี้มาร่วม 3 ปีนี่..
ยังไม่เคยเจอข้อความแบบนี้เลยนะ..
ช่วยยกตัวอย่างแหล่งที่มาของข้อมูลให้หน่อยซักที่ได้ไหมครับ
เผื่อจะเข้าไปค้นหาอ่านดูบ้าง...
เพราะว่าที่ผมรู้มามันจะเป็นแบบนี้นะครับ..
Star seed คือจิตวิญญาณจากมิติอื่น หรือ โลกอื่นๆ
ที่วิวัฒน์ไปไกลกว่ามนุษย์โลกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพากันลงมาเกิดบนโลกใบนี้
หรือดาวดวงไหนๆก็ตาม ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
หรือที่กำลังจะอยู่ในขั้นตอน หรือ วาระพิเศษๆหนึ่งๆอยู่
เช่น ตอนนี้โลกของเรากำลังจะเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งเรียกกันว่า กำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) อยู่
เพราะฉะนั้น จึงกำลังต้องการแรง และ พลังงาน
ของพวก Star seed เหล่านี้แหละมาช่วย
ไม่มี chip ใดๆฝังอยู่ใน star seed ทั้งนั้น
เพราะข้อมูลข่าวสารแห่งภารกิจของพวกเขาทั้งหมด
ถูกบันทึกไว้ใน DNA ของพวกเขาแล้ว และ DNA ของพวกเขา
ก็ได้ถูกเข้ารหัสให้ตื่นขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
และเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มาเดี๋ยวๆ แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
พวกเขาจึงมีรูปธรรมชีวิตต่างมิติ ที่เป็นเทพผู้นำทาง เป็นญาติพี่น้อง ฯลฯ
ที่ไม่ได้ลงมาเกิดด้วย คอยดูแล คอยช่วยเหลือ และ คอยให้คำแนะนำอยู่เสมอๆ
เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะไม่ตื่นเลย
"หากพวกเขารู้จักฟังเสียงจากภายในของตนเอง"
ตอนนี้เท่าที่ผมพอจะมีข้อมูลอยู่ คือเท่าที่ได้อ่านผ่านๆมาหนะนะครับ
รูปธรรมชีวิตที่ชื่อ "รา" บอกมาเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้วว่า
มี star seed อยู่บนโลกตอนนัั้น ราวๆ 80 ล้านคน
ต่อจากนั้น นายเดวิด วิลคอร์ค ได้มีข้อมูลว่า มี star seed อยู่บนโลก
ประมาณ 245 ล้านคน
และล่าสุด "ครายออน" บอกเมื่อ 2 - 3 ปีมานี้ว่า มี star seed อยู่บนโลกตอนนี้
ราวๆ 350 ล้านคน หรือประมาณ 1 คน ต่อ ชาวโลก 30 คน อะไรประมาณนั้น
กลุ่มใดๆก็ตาม ที่คุณกล่าวถึง หากว่ามีเจตนาร้าย ก็มิอาจทำอะไรพวกเขาได้หรอก
เพราะว่าผู้ที่คอยดูแลพวกเขาอยู่ มีพลังอำนาจมากกว่านั้นเยอะ..
แต่อย่างไรก็ตาม..มนุษย์ก็ชอบที่จะคิด และ ตัดสินใครต่อใครด้วยสายตาอันสั้นของตัวเอง
แม้ว่าสิ่งต่างๆ มันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่มนุษย์เข้าใจไปเองเสมอก็ตาม
นั่นแหละคือปัญหา และ ปัญญา ของมนุษย์หละ
ที่มักจะถูกบดบัง บิดเบือน และ หลอกลวงด้วย ego ของตนเอง
แต่ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจไป เพราะว่า เมื่อโลกเข้าสู่กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น มากขึ้นๆแล้ว
ความจริงๆต่างๆ ก็จะปรากฎออกมามากขึ้น และ มากขึ้น ตามไปด้วย
เมื่อนั้น สติ และ ปัญญาของมนุษย์หลายคน (แต่ไม่ทุกคน) ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์ผู้นั้น จะ "เลือก" ที่จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า?
หรือยังเลือกที่อยู่บนเส้นทางสายเดิม เชื่อแบบเดิมๆ มองอะไรๆแบบเดิมๆอยู่
ใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวาเหมือนเดิมอยู่ หรือใช้ ego นำทางเหมือนเดิมอยู่?
ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับทางเลือกเสรีของมนุษย์แต่ละคนเอง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเป็น "ผู้ถูกเลือก" ใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีใครสามารถเลือกคุณได้
คุณเองต่างหากหละ ที่จะเป็นผู้เลือกเอง ว่าคุณจะอยู่หรือจะไป
จะรอด หรือ จะตาย เมื่อถึงเวลานั้น..ซึ่งก็คือเวลานี้แหละ..
..เพราะว่ากระบวนการ มันเริ่มต้นมาตั้งนานแล้ว..
ไม่ว่าการเลือกนั้น จะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม เช่น
- เลือกเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนถือกำเนิด ในพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของตนเอง
- หรือเลือกเอาไว้ ในรูปแบบของ "ระดับจิตสำนึก" คือโลกยุคพลังงานใหม่
จะรองรับเฉพาะผู้ที่มีระดับจิตสำนึกสูงส่งเพียงพอเท่านั้น
ใครที่มีระดับจิต และ ระดับความสั่นสะเทือนทางจิต ต่ำกว่าระดับที่จะไปอยู่ในโลกยุคใหม่
ที่มีระดับความสั่นสะเทือนของพลังงานที่สูงขึ้นอย่างมากนี้ได้ ก็ไม่อาจจะอยู่ได้
เพราะร่างกายเนื้อ และ จิต จะทนทานระดับพลังงานที่สูงกว่านั้นไม่ได้เอง ตามธรรมชาติ
- หรือเลือกด้วย "การจดจ่อ" แห่งจิต ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม เช่น
จดจ่อในทางลบ เพราะเชื่ออย่างหนักแน่นว่า มันคือวันโลกแตก
เชื่อว่าในวันนั้นตัวเองจะต้องตายแน่ๆ เป็นต้น
คุณก็อาจจะได้ทุกอย่างสมใจ เพราะคุณปราถนาเช่นนั้น
"จิตใต้สำนึกของคุณ" และตาม "กฎแห่งการดึงดูด" มันจะจัดให้
ตามคำสั่งของคุณ ด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง
จำไว้ว่า "กฎแห่งกรรม" ไม่ได้เป็น "กฎ" เพียงกฎเดียว
ที่มีอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
อย่างที่เราเข้าใจกันว่ามันเป็น และ ถูกสอนให้เชื่อตาม ว่ามันเป็น
แต่มันยังมี "กฎอื่นๆ" อยู่อีกมากมาย เช่น "กฎแห่งการดึงดูด" เป็นต้นแม้ว่า กฎแห่งกรรม จะเป็นเพียงกฎๆเดียว ที่เราชาวพุทธส่วนใหญ่รู้จักก็ตาม
ปล. เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ ผมโพสต์เอาไว้เยอะแล้ว และก็เยอะเหลือเกินแล้วด้วยครับ
เยอะจนเกินพอ ที่จะทำให้มุมมองของชีวิตของใครคนหนึ่ง
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงได้เลยทีเดียว..หลายคนพิสูจน์มาแล้ว..
เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่รู้จะโพสต์อะไรอีกแล้ว..
เพราะทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น..มันก็อยู่ที่ "ทางเลือก" ของมนุษย์แต่ละคนเอง
ไปเอามาจากไหนหนอจ้าวนี้..
ที่ว่า Star seed จะต้องมีชิปฝังอยู่มาตั้งแต่กำเนิด
ผมอ่านและแปลข้อความพวกนี้มาร่วม 3 ปีนี่..
ยังไม่เคยเจอข้อความแบบนี้เลยนะ..
ช่วยยกตัวอย่างแหล่งที่มาของข้อมูลให้หน่อยซักที่ได้ไหมครับ
เผื่อจะเข้าไปค้นหาอ่านดูบ้าง...
เพราะว่าที่ผมรู้มามันจะเป็นแบบนี้นะครับ..
Star seed คือจิตวิญญาณจากมิติอื่น หรือ โลกอื่นๆ
ที่วิวัฒน์ไปไกลกว่ามนุษย์โลกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพากันลงมาเกิดบนโลกใบนี้
หรือดาวดวงไหนๆก็ตาม ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
หรือที่กำลังจะอยู่ในขั้นตอน หรือ วาระพิเศษๆหนึ่งๆอยู่
เช่น ตอนนี้โลกของเรากำลังจะเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งเรียกกันว่า กำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) อยู่
เพราะฉะนั้น จึงกำลังต้องการแรง และ พลังงาน
ของพวก Star seed เหล่านี้แหละมาช่วย
ไม่มี chip ใดๆฝังอยู่ใน star seed ทั้งนั้น
เพราะข้อมูลข่าวสารแห่งภารกิจของพวกเขาทั้งหมด
ถูกบันทึกไว้ใน DNA ของพวกเขาแล้ว และ DNA ของพวกเขา
ก็ได้ถูกเข้ารหัสให้ตื่นขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
และเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มาเดี๋ยวๆ แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
พวกเขาจึงมีรูปธรรมชีวิตต่างมิติ ที่เป็นเทพผู้นำทาง เป็นญาติพี่น้อง ฯลฯ
ที่ไม่ได้ลงมาเกิดด้วย คอยดูแล คอยช่วยเหลือ และ คอยให้คำแนะนำอยู่เสมอๆ
เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะไม่ตื่นเลย
"หากพวกเขารู้จักฟังเสียงจากภายในของตนเอง"
ตอนนี้เท่าที่ผมพอจะมีข้อมูลอยู่ คือเท่าที่ได้อ่านผ่านๆมาหนะนะครับ
รูปธรรมชีวิตที่ชื่อ "รา" บอกมาเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้วว่า
มี star seed อยู่บนโลกตอนนัั้น ราวๆ 80 ล้านคน
ต่อจากนั้น นายเดวิด วิลคอร์ค ได้มีข้อมูลว่า มี star seed อยู่บนโลก
ประมาณ 245 ล้านคน
และล่าสุด "ครายออน" บอกเมื่อ 2 - 3 ปีมานี้ว่า มี star seed อยู่บนโลกตอนนี้
ราวๆ 350 ล้านคน หรือประมาณ 1 คน ต่อ ชาวโลก 30 คน อะไรประมาณนั้น
กลุ่มใดๆก็ตาม ที่คุณกล่าวถึง หากว่ามีเจตนาร้าย ก็มิอาจทำอะไรพวกเขาได้หรอก
เพราะว่าผู้ที่คอยดูแลพวกเขาอยู่ มีพลังอำนาจมากกว่านั้นเยอะ..
แต่อย่างไรก็ตาม..มนุษย์ก็ชอบที่จะคิด และ ตัดสินใครต่อใครด้วยสายตาอันสั้นของตัวเอง
แม้ว่าสิ่งต่างๆ มันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่มนุษย์เข้าใจไปเองเสมอก็ตาม
นั่นแหละคือปัญหา และ ปัญญา ของมนุษย์หละ
ที่มักจะถูกบดบัง บิดเบือน และ หลอกลวงด้วย ego ของตนเอง
แต่ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจไป เพราะว่า เมื่อโลกเข้าสู่กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น มากขึ้นๆแล้ว
ความจริงๆต่างๆ ก็จะปรากฎออกมามากขึ้น และ มากขึ้น ตามไปด้วย
เมื่อนั้น สติ และ ปัญญาของมนุษย์หลายคน (แต่ไม่ทุกคน) ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์ผู้นั้น จะ "เลือก" ที่จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า?
หรือยังเลือกที่อยู่บนเส้นทางสายเดิม เชื่อแบบเดิมๆ มองอะไรๆแบบเดิมๆอยู่
ใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวาเหมือนเดิมอยู่ หรือใช้ ego นำทางเหมือนเดิมอยู่?
ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับทางเลือกเสรีของมนุษย์แต่ละคนเอง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเป็น "ผู้ถูกเลือก" ใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีใครสามารถเลือกคุณได้
คุณเองต่างหากหละ ที่จะเป็นผู้เลือกเอง ว่าคุณจะอยู่หรือจะไป
จะรอด หรือ จะตาย เมื่อถึงเวลานั้น..ซึ่งก็คือเวลานี้แหละ..
..เพราะว่ากระบวนการ มันเริ่มต้นมาตั้งนานแล้ว..
ไม่ว่าการเลือกนั้น จะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม เช่น
- เลือกเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนถือกำเนิด ในพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของตนเอง
- หรือเลือกเอาไว้ ในรูปแบบของ "ระดับจิตสำนึก" คือโลกยุคพลังงานใหม่
จะรองรับเฉพาะผู้ที่มีระดับจิตสำนึกสูงส่งเพียงพอเท่านั้น
ใครที่มีระดับจิต และ ระดับความสั่นสะเทือนทางจิต ต่ำกว่าระดับที่จะไปอยู่ในโลกยุคใหม่
ที่มีระดับความสั่นสะเทือนของพลังงานที่สูงขึ้นอย่างมากนี้ได้ ก็ไม่อาจจะอยู่ได้
เพราะร่างกายเนื้อ และ จิต จะทนทานระดับพลังงานที่สูงกว่านั้นไม่ได้เอง ตามธรรมชาติ
- หรือเลือกด้วย "การจดจ่อ" แห่งจิต ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม เช่น
จดจ่อในทางลบ เพราะเชื่ออย่างหนักแน่นว่า มันคือวันโลกแตก
เชื่อว่าในวันนั้นตัวเองจะต้องตายแน่ๆ เป็นต้น
คุณก็อาจจะได้ทุกอย่างสมใจ เพราะคุณปราถนาเช่นนั้น
"จิตใต้สำนึกของคุณ" และตาม "กฎแห่งการดึงดูด" มันจะจัดให้
ตามคำสั่งของคุณ ด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง
จำไว้ว่า "กฎแห่งกรรม" ไม่ได้เป็น "กฎ" เพียงกฎเดียว
ที่มีอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
อย่างที่เราเข้าใจกันว่ามันเป็น และ ถูกสอนให้เชื่อตาม ว่ามันเป็น
แต่มันยังมี "กฎอื่นๆ" อยู่อีกมากมาย เช่น "กฎแห่งการดึงดูด" เป็นต้นแม้ว่า กฎแห่งกรรม จะเป็นเพียงกฎๆเดียว ที่เราชาวพุทธส่วนใหญ่รู้จักก็ตาม
ปล. เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ ผมโพสต์เอาไว้เยอะแล้ว และก็เยอะเหลือเกินแล้วด้วยครับ
เยอะจนเกินพอ ที่จะทำให้มุมมองของชีวิตของใครคนหนึ่ง
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงได้เลยทีเดียว..หลายคนพิสูจน์มาแล้ว..
เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่รู้จะโพสต์อะไรอีกแล้ว..
เพราะทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น..มันก็อยู่ที่ "ทางเลือก" ของมนุษย์แต่ละคนเอง