The Impact of Solar Cycles on The Shiftผลกระทบของวัฏจักรสุริยะต่อการเปลี่ยนระดับ
ดาวเทียม SOHO ที่โคจรอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ปลายปี 1995
เพื่อคอยถ่ายภาพพื้นผิวของดวงอาทิตย์ และคอยติดตามดูกิจกรรมของมัน
พบว่าพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์พ่นอนุภาคประจุแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
แล้วแผ่กระจายมาสู่โลก และดวงดาวอื่นๆในระบบสุริยจักรวาลของเรา
ภาพข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นถึงช่วงขณะที่ดวงอาทิตย์ มีค่า energetic activity
ต่ำสุด และ สูงสุด (ตามลำดับ)
ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ จะเปลี่ยนทุกๆ 11.2 ปี และเชื่อว่ามีผลกระทบอย่างมาก ดาวเทียม SOHO ที่โคจรอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ปลายปี 1995
เพื่อคอยถ่ายภาพพื้นผิวของดวงอาทิตย์ และคอยติดตามดูกิจกรรมของมัน
พบว่าพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์พ่นอนุภาคประจุแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
แล้วแผ่กระจายมาสู่โลก และดวงดาวอื่นๆในระบบสุริยจักรวาลของเรา
ภาพข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นถึงช่วงขณะที่ดวงอาทิตย์ มีค่า energetic activity
ต่ำสุด และ สูงสุด (ตามลำดับ)
ต่อขั้วแม่เหล็กโลก
ในการวิวัฒน์จนสมบูรณ์
ความสอดคล้องกันด้านตัวเลขเหล่านี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ว่าจักรวาล
ถูกสร้างขึ้นมาจากอำนาจของผู้ทรงภูมิปัญญา
ถ้าคุณได้ตามดูข่าวสารเกี่ยวกับอวกาศมาตลอดจนถึงเมื่อเร็วๆนี้ คุณก็จะรู้ว่า
โลกได้ถูกกระหน่ำด้วยพลังงานรอบแล้วรอบเล่า จากจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sun sports)
และจากการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ (Solar flares) ที่ผลิตพายุแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างเข้มออกมา
การลุกจ้าของดวงอาทิตย์ ได้เกิดขึ้นรุนแรงกว่าปกติถึง 10 เท่า
และได้ปลดปล่อยรังสีเอ็กซ์
และรังสีอื่นๆความเข้มข้นสูงสุดออกมาด้วย
พร้อมกันนี้ ยังได้ปลดปล่อยพายุอนุภาคที่มีประจุที่เคลื่อนที่ช้ากว่าออกมาด้วยจำนวนมหาศาล
การปะทุครั้งใหญ่นี้ เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด เท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์ของเรา
กลุ่มเมฆหมอกแม่เหล็กของพลาสม่า กระจายออกมาไกลถึง 30 ล้านไมล์ในตอนที่มันมาถึงโลก
การลุกจ้าของดวงอาทิตย์เหล่านี้ ก่อให้เกิดลมสุริยะ ที่จะไปบิดเบี้ยวสนามแม่เหล็กของโลก (Magnetosphere)
ทำให้เกิดพายุแม่เหล็ก ที่สามารถทำให้เครื่องมือการสื่อสาร และระบบนำร่องทั้งหลาย เกิดความปั่นป่วนขึ้น
รวมถึงสามารถทำให้ดาวเทียมเสียหาย หรือแม้แต่ทำให้ใช้การไม่ได้
ลมสุริยะเหล่านี้ ทำให้สนามแม่เหล็กโลกโป่งพองออก รวมถึงทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกด้วย
พลังงานบางส่วนของมัน กระแทกตั้งฉากมายังโลก ทำให้วิทยุสื่อสารใช้การไม่ได้
ทำให้ FAA ต้องเปลี่ยนเส้นทางการบิน ออกจากจุดที่เป็นที่ชุมนุมของความวุ่นวาย
ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณรังสีที่มากเกินไป
และยังทำให้ดาวเทียมของญี่ปุ่นสองลำใช้การไม่ได้ นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ
ต้องหุ้มอุปกรณ์ป้องกันมากกว่าปกติหลายเท่าตัวในพื้นที่ที่ต้องปกป้อง
ภาพข้างล่างนี้ คุณจะเห็นการการปะทุระเบิดของดวงอาทิตย์ ลมสุริยะที่เกิดขึ้น การปะทะบรรยากาศของโลก
และการบิดเบือนแม่เหล็กไฟฟ้าของชั้นบรรยากาศโลก
ภาพข้างล่างนี้ที่มีจุดดับของดวงอาทิตย์ (Sun blocked out) แสดงถึงการระเบิดแบบทั่วไปพลังงานบางส่วนของมัน กระแทกตั้งฉากมายังโลก ทำให้วิทยุสื่อสารใช้การไม่ได้
ทำให้ FAA ต้องเปลี่ยนเส้นทางการบิน ออกจากจุดที่เป็นที่ชุมนุมของความวุ่นวาย
ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณรังสีที่มากเกินไป
และยังทำให้ดาวเทียมของญี่ปุ่นสองลำใช้การไม่ได้ นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ
ต้องหุ้มอุปกรณ์ป้องกันมากกว่าปกติหลายเท่าตัวในพื้นที่ที่ต้องปกป้อง
ภาพข้างล่างนี้ คุณจะเห็นการการปะทุระเบิดของดวงอาทิตย์ ลมสุริยะที่เกิดขึ้น การปะทะบรรยากาศของโลก
และการบิดเบือนแม่เหล็กไฟฟ้าของชั้นบรรยากาศโลก
ของดวงอาทิตย์ทั้ง 2 แบบ เปลวเพลิงสุริยะ คือสิ่งที่เห็นเป็นเหมือนห่วงสว่างๆ ด้านบนในรูป
และสิ่งที่เป็นเหมือนจุดเป็นที่รู้จักกันในนามของ “จุดดับบนดวงอาทิตย์” (Sun spot)
บางครั้งพวกมันก็ยุบตัวลงมาแล้วเกิดการระเบิด บ่อยครั้งที่พวกมันพุ่งขึ้นสูงนานได้หลายวัน
หรือแม้แต่หลายสัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆจมหายกลับลงไปในดวงอาทิตย์
จากภาพข้างล่างนี้ คุณจะเห็นได้ว่าพวกมันใหญ่โตมโหฬารสักแค่ไหน เพราะมันสูงกว่าโลกถึง 5 เท่า
ในระหว่างการเกิดระเบิดบนดวงอาทิตย์ เช่นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003
มันได้กระจายกลุ่มเมฆหมอก และอนุภาคที่มีประจุจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ออกมาสู่อวกาศมากมาย
พลังงานจากการระเบิดเหล่านี้บางส่วน พุ่งออกมาด้วยความเร็วผิดปกติ จนมาถึงโลกได้
โดยใช้เวลาไม่ถึงวันหนึ่งด้วยซ้ำ มีครั้งหนึ่งที่มันสร้างสถิติความเร็วใหม่ไว้คือ 5 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง
มันเป็นความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยวัดได้ในอวกาศ ของกระแสแก็สที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์
โดยใช้เวลาไม่ถึงวันหนึ่งด้วยซ้ำ มีครั้งหนึ่งที่มันสร้างสถิติความเร็วใหม่ไว้คือ 5 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง
มันเป็นความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยวัดได้ในอวกาศ ของกระแสแก็สที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์