ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพเมตาตรอน (Archangel Metatron)เรื่อง: การเนรมิต: ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และสนามพลังคริสตัลไลน์
(Manifestation: Impeccability & The Crystaline Field)
วันที่: 15 มิถุนายน 2008
ผู้รับสาส์น: นาย Tyberonn
ที่มา:Manifestation : Impeccability & The Crystalline Field > Earth Keeper
ตอนที่ 12:
ฟิสิกส์แห่งความเป็นขั้ว (Polarity Physics)
ท่านคุรุทั้งหลาย พวกคุณเห็นไหมว่า
“ยิ่งพวกคุณเข้าไปใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าใด
พวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดความมืดให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย”
มันเป็นไปตามหลักการณ์ทางฟิสิกส์, หลักการณ์ทางแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างแท้จริง
เพราะว่า “พลังงานบวกล้วนๆ จะมีแรงดึงดูดต่อพลังงานลบมากที่สุด”
ดังนั้น พวกคุณจะต้องมีภูมิปัญญาด้วย นั่นก็คือ “ความอ่อนน้อมถ่อมตน”
เพื่อเอาไว้เป็นพละกำลัง และ เป็นแบบแผนการประพฤติปฏิบัติสำหรับตนเอง
เพื่อหันเหความสนใจของมันออกไป
มันมีกฏฟิสิกส์อยู่อีกข้อหนึ่งที่พวกคุณจะต้องเข้าใจ นั่นก็คือ
เมื่อใดพวกคุณบรรลุถึงระดับความสั่นสะเทือนแห่งคริสตัลไลน์ได้แล้ว
หรือที่เรียกว่าบรรลุถึง “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” ได้แล้ว
พวกคุณก็จะอยู่เหนืออำนาจการดึงดูดของแม่เหล็กแห่งความเป็นทวิภาวะ
และพวกคุณก็จะเข้าไปอยู่ในสนามพลังงานที่เรียกว่า “จุดศูนย์” (Zero point)
นั่นแหละคือบรมสุขแห่งการไม่ยึดติดอะไรเลย (detachment)
คราวนี้..พลังงานหยาบๆทั้งหลาย เช่น ความโกรธ ความเกลียด ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย
พวกคุณจะสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างไร?
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลึกลับซับซ้อนอะไรสำหรับพวกคุณเลย เพราะว่าความจริงแล้ว
พวกคุณเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง มันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นทวิภาวะ ที่จะต้องมีสองด้านเสมอ
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกคุณ ก็มีกล่าวถึงเรื่องของการหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้ตบเอาไว้ด้วย
(“ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย” (ลก 6:29) – ผู้แปล)
แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?
มันไม่ได้หมายถึง การที่พวกคุณสามารถยกโทษให้กับคนที่เหยียบเท้าของพวกคุณได้หรอกนะ
เพราะว่าจริงๆแล้วมันหมายความว่า “จงยืนหยัดอยู่ในสัจธรรมของตัวคุณเอง”
แต่มันก็หมายถึงว่า พวกคุณจะต้องไม่ไปเหยียบเท้าใครเข้าด้วยนะ
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม พวกคุณเข้าใจไหม?
พวกคุณหลายคนกลัวการต่อสู้ (Aggression) ทั้งๆที่แก่นแท้ของมัน
คือพลังงานที่สร้างสรรค์มากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกใบนี้
มันคือพลังงานที่ทำให้เมล็ดพันธุ์เล็กๆสามารถแตกออกมา และงอกขึ้นมาจากดินได้
แล้วแทงหน่อสีเขียวๆอันบอบบางของมันขึ้นไปหาตะวันได้ จากนั้นมันก็ผลิดอกที่สวยงามออกมา
ทั้งหมดนี้ก็คือการต่อสู้ทั้งนั้นเลย
เมื่อปัญหาข้อขัดแย้งของมนุษย์บังเกิดขึ้น รูปแบบของการต่อสู้ก็มักจะเป็นไป
เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงการทำสงครามหรอกนะ
แต่พวกเรากำลังหมายถึงการที่ทั้งสองฝ่าย ต่างยืนหยัดอยู่บนความเป็นจริงของตนเอง
แล้วหาวิธีการแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างหมดจด
ความขัดแย้งมักจะนำมาซึ่งข้อตกลง และโอกาสที่จะได้รับบทเรียนของทั้งสองฝ่ายเสมอ
ในท่ามกลางความขัดแย้ง พวกคุณแต่ละคนก็ยังมีโอกาส
ที่จะยืนอยู่ใน “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” ได้เสมอ
พวกคุณสามารถจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งนั้นได้
โดยไม่ต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน
พวกคุณเข้าใจไหม?
พวกคุณสามารถรับมือกับมัน และ เผชิญหน้ากับมันได้
โดยไม่ต้องเข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับมัน (วางอุเบกขา – ผู้แปล)
ให้ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ก็พอ
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันคือวิถีแห่งคุรุ
พวกคุณแต่ละคนมีโอกาสที่จะอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ทุกๆวัน
เพราะว่าในสถานการณ์ใด ที่พวกคุณสามารถตระหนักรู้ถึงความล้มเหลวของตัวเอง,
หรือความขัดแย้งของตัวเอง กับความถูกต้องเหมาะสมได้
นั่นแหละคือวันที่พวกคุณ อยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติหละ
และแน่นอน ว่ามันคือการเดินทางอย่างหนึ่ง
มันก็เหมือนกับการที่พวกคุณ ยืนหยัดอยู่บนความเป็นจริงของตัวเอง
และพยายามที่จะยอมรับในความเป็นจริงของผู้อื่นด้วยนั่นแหละ
เพราะว่านั่น..พวกคุณก็กำลังอยู่ในความถูกต้องเหมาะสมแล้วเช่นกัน
มันมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า “ใครจะเหวี่ยงกำปั้นไปชกหน้าใคร นั่นก็เป็นสิทธิ์ของคนๆนั้น”
แต่ว่าความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หมายรวมถึง การยอมรับในสิทธิ์ของผู้อื่น
โดยไม่ละทิ้งสิทธิ์ของตัวเองด้วย
จงทำดีกับผู้อื่น จงวัดสองครั้ง แต่จงตัดเพียงครั้งเดียว
เมื่อใดที่พวกคุณกระทำความผิด จงยอมรับมัน
จงรู้จักการให้อภัย และจงยอมรับการให้อภัยด้วย
และจงทำทั้งหมดนั้น ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา
