วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถอดความจาก : มรรค :
 
พระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ วัดดอยเกิ้ง
เว็บเพจ นี้ เหมาะสำหรับ ผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรม จนจิตแยกออกจากกายเนื้อ เข้าสูสภาวะจิตเดิมของตนถึง'ทาง' หรือ 'มรรค'  ซึ่งคนและสัตว์ต่างก็มีอยู่กับจิตของตนเองด้วยกันทั้งนั้น ส่วนวิธีการในมหาสติปัฏฐานต่างๆที่พระอาจารย์ชี้แจงไว้ที่ลิงค์นี้  
ผู้ที่สนใจ สามารถแวะศึกษาได้ และเลือกวิธี ที่เราถนัด หรือชอบ ตามจริตหรือของเดิมของแต่ละคน ที่ทำมาแต่ชาติก่อนๆ เมื่อสามารถค้นหาต่อยอดวิธีการเดิมได้ ก็จะใช้เวลาน้อยลงในการเข้าถึง 'ทาง' ซึ่งสามารถค้นหารายละเอียดได้ใน อิงธรรม หรือในที่อื่นๆ
แต่เมื่อเร็วๆนี้ ได้เข้าไปศึกษาวิธีการแยกจิตออกจากกายเนื้อ ของหมอแกน นับว่าเป็นอีกหนทางหนึ่ง สำหรับคนยุคปัจจุบัน อาจเข้าใจง่าย และอาจจะปฏิบัติได้รวดเร็วก็ได้ รูปแบบเป็นวิทยาศาตร์ ทันยุคปัจจุบัน
บทถอดเทปของพระอาจารย์
วันนี้เราจะเรียนเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินองค์ของมรรค  ขอให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจว่า  สมาธิที่เป็นมรรคนั้น เราไม่มีการเข้าและออก ถ้านั่งเรา ก็นั่งเฉยๆ ดูอาการของมรรค เราไม่ต้องไปดูลมหายใจ หรือคลายความรู้สึกนึกคิดเป็นความว่าง นั่งเฉยๆ สภาวะมรรคนั้น มันอยู่กับเราตลอดเวลา
 สภาวะมรรคนั้นมันอยู่กับเราตลอดเวลา เพราะว่าธรรมชาติเดิมของมนุษย์ก็คือ มรรค คือทางนั่นเอง มันอยู่กับเราตลอดเวลาแต่เราไม่รู้จักมัน ที่เราอยู่ไม่ได้ก็เพราะว่าอุปทานของขันธ์ จิตเรามีอวิชชา คือความไม่รู้ ว่าเราคืออะไร เราก็เที่ยวเสาะแสวงหา ว่าสิ่งที่จะที่ไห้เราพ้นทุกข์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่จะต้องได้มาจากที่อื่น เป็นจำพวกว่า เขาว่าพระนิพพาน เราก็เสาะแสวงหา เราได้ยินได้ฟังเขาว่า นิพพานนี่เป็นที่สิ้นสุดของกองทุกข์ นิพพานเป็นสุขยิ่ง
แต่เมื่อเราสัมผัสตัวสภาวะ 'มรรค' เราก็เห็นว่า นิพพานนั้นไม่ทุกข์ไม่สุข คือเป็นสภาวะเดิมของเรา ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้มาจากบนฟ้าบนอากาศ เป็นของดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อก่อนเรามีกิเลสตัญหาอุปทานไปแทนที่ทางสายนี้ การปฏิบัติธรรมก็คือ การขจัดกิเลสที่ขวางทางเดินของเรา อริยสัจ 4 ความจริง 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค เมื่อเราเห็นทางเดินแล้ว เราก็จะรู้ว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องไปถึงจุดหมายปลายทางตรงนี้  เราก็ต้องรู้ว่า ต้นเหตุของตัวทุกข์ มันเกิดจากจิตของเรานั่นเอง   จิตเรามีอวิชชา คือความไม่รู้ เข้าไปยึดอาการของขันธ์ 5 คือ
  • รูป
  • เวทนา
  • สัญญา
  • สังขาร
  • วิญญาน
ว่าเป็นตัวเราของเรา เมื่อเราไปยึดว่าเป็นตัวเราของเราแล้ว เราก็ถูกขันธ์นี่ครอบงำเราอยู่ตลอดเวลา เราจะแสวงหาสิ่งที่เป็นความสุข แต่ความสุขอันนี้เป็นสิ่งเจือด้วยทุกข์ เพราะว่าขันธ์ 5 นั้นมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพราะสสาร ที่อยู่ในจักรวาลนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลายไปอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเอาจิตไปรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เราก็นึกว่าเป็นสุข ถ้ามันเปลี่ยนแปลงในทางที่ชั่ว ที่ไม่ดี เราก็นึกว่ามันทุกข์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเปลี่ยนแปลงเองไปตามธรรมชาติของเขา เป็นจำพวกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ไปตามกาลเวลา เราก็ปล่อยวาง  ตัวทุกข์นี่ เกิดจากขันธ์ 5
เราจะเห็นตัวทุกข์นี่ ก็ต่อเมื่อเราเห็นมรรค  เมื่อเราเห็นมรรค แล้ว ดำเนินองค์มรรค เราพ้นแล้วเราอยู่ตามทางแล้ว ตัวทุกข์นี่ เรจะเห็นว่ามันเป็นขยะ ซึ่งเป็นอยู่ระหว่างทางที่เราเดิน ถ้าเราเดินโดยที่ว่าไม่มีเศษขยะ คือดำเนินองค์มรรคสมบูรณ์ก็คือมรรค 8  คือสิ่งต่างๆที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องในภาวะปัจจุบัน การพูดการคุย หน้าที่การงาน การมีสมาธิหรือมีสติเราก็ไม่สุดโต่ง คือพูดได้ อะไรได้ แต่ว่า เราไม่แวะตัวดีหรือตัวชั่ว อันนี้ทางสายกลาง
เราก็อยู่ไปเรื่อย ถ้าเราอยู่ทางสายกลางไปเรื่อยๆ  ทางสายกลางนี่ไม่ใช่ว่า ทำความดี ละเว้นความชั่ว เป็นกลางแล้ว อันนั้นเป็นกลางใจ แต่กลางนี้เป็นกลางจากที่เราได้มรรค เราอยู่ในทางนั้น มันจะต่างกัน  ถ้าเราอยู่ตามทางตลอด 24 ชั่วโมง เศษขยะนี่ไม่สามารถที่จะเข้ามาตามทางเราได้ แต่ว่าเมื่อเราหลงกิเลส ซึ่งมี โลภะ โทษะ โมหะ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าเราหลงเข้าไปแตะต้อง มันก็จะเป็นขยะขวางอยู่ในทางเดินของเรา
เราเห็นว่าเราจะต้องแก้ไขตนเองแล้วละ ถ้าเราปล่อยให้ขยะนี่ ถมมากขึ้นๆ เราก็จะไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์  ถึงเราจะรู้แล้ว แต่ว่าอนุศัยกิเลสที่มันนอนเนื่องอยู่ในใจของเรา มันมีอิทธิพลแบบนี้ เราก็จะต้องไปเสวยวิบาก เพราะว่ากฏแห่งกรรม คือพลังงานของเรานี่ มันยังดับเหตุไม่หมด มันยังมีผลต่อเนื่องกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นต้นเหตุของตัวทุกข์เรายังดับไม่หมด เราจะต้องไปผุดไปเกิด อยู่กับสภาวะพลังงานที่ดับเหตุยังไม่หมด
เราเห็นขยะของเราแบบนี้แล้ว เราจะปล่อยให้ขยะอันนี้อยู่กับเราหรือเปล่า ถ้าเรายังปล่อยให้มันอยู่ ก็แสดงเรายังมีความประมาท พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้พิจารณามรณานุสติเป็นประจำ เรานึกความตายเป็นประจำของเรา  ถึงเราได้มรรคแล้ว เราจะอยู่ตามทางแล้ว เราก็พิจารณาถึงความตาย อย่างพระพุทธองค์ท่านเทศน์ให้กับปัญจวัคคีทั้ง 5 ได้เป็นพระโสดาบันหมดแล้ว ต่อไปท่านก็เทศน์เกี่ยวกับเรื่องการคลายความยึดมั่น ถือมั่น เรื่องความว่างความไม่มีตัวตน ความปล่อย ความวาง จนจิตทั้ง 5 คนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  
อันนี้ก็จะต้องมีอานิสงส์ของการคลาย ความยึดมั่นถือมั่นนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือมรณานุสติ ถ้าเราหล่นลงมา ไปอยู่กับตัวรู้อยู่กับร่างกาย พระพุทธองค์ท่านก็อาศัยอาณาปานสติ คือกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นเครื่องอยู่ มรณานุสตินั้นเป็นตัวเตือน เพื่อที่จะให้เราอยู่ตามทางตลอด
ถ้าเราประมาทนิดหนึ่ง เราหล่นไปทางใดทางหนึ่ง เราอาจจะได้รับภาวะกฏแห่งกรรม ซึ่งยังดับเหตุยังไม่หมด ดังนั้นเราจะต้องทำมรรคให้สมบูรณ์ เดินทางแบบทางนั้นโล่งเตียนอยู่ตลอดเวลา การที่ดำเนินบนทางที่โล่งเตียนตลอดเวลานั้น เราอยู่ในสภาวะนี้ไปเรื่อยๆ อยู่เป็นเดือนๆอยู่หลายๆวัน ไม่ใช่ว่าเข้าแป๊บเดียวแล้วก็ออกไป  แล้วก็พูดคุยกันถึงเรื่องอะไรต่างๆ เรานึกถึงสภาวะนั้นยังได้ แต่ว่ามานั่งแล้วมีอะไรหลายอย่างเกะกะไปหมด ทางที่เราได้เพียงแต่ว่าได้ไปเห็นมาแค่นั้นเอง แต่ว่ามันมีอะไรหลายอย่าง ความเจ็บความปวด ความนึก ความคิด เข้ามาแทนที่ในทางนั้นหมด
มาในวันนี้คนที่เห็นทางแล้ว นั่งเฉยๆ สมาธิไม่มีการเข้าการออก เพราะว่ามันหมดแล้ว สมาธินั้นอย่างอาณาปานุสติก็ใช้ลมหายใจเข้าออก การกำหนดลมก็ดี การเพ่งการทำอะไรซักอย่างเพื่อจะให้จิตรวมตัวนิ่งนั้น เราหมดไปแล้ว
มันก็เหลือสภาวะที่โล่งๆว่างๆ ทางนี้ก็โล่งของเราไปอยู่ เรานั่งเราก็นั่งเฉยๆไม่ทำอะไรซักอย่าง เราก็จะเห็นว่าสภาวะที่เราไม่เดินอยู่ตามทางนั้น ปล่อยให้กิเลสซึ่งเป็นอนุศัยที่นอนเนื่องอยู่ในใจของเรา มีอิทธิพลต่อเราวางระเกะระกะไปหมด เราต้องขจัดออกไป การขจัดออกไปนั้น เราจะเห็นว่าพลังงานพวกนี้มันมีคลื่นพลังงาน คลื่นพลังงานของมันมีความถี่มันสูงมาก ซึ่งจะมีอิทธิพลทำให้จิตของเราที่เราเข้าถึงมรรคถึงทางแล้วนี่ วกกลับไปยึดในสภาวะพลังงานตัวนี้
วิธีสำรอกอนุศัย  เราก็นึกถึงทางนั้น ทางเดินของเรา ทางเดินที่ไม่มีเจตนา  เจตนาที่เรามีอยู่กับใจ เจตนาในการพูด การคุย การนึก การคิด เรามีเจตนาแสดงว่าทางสายกลางดำเนินองค์มรรค เราไม่ดำเนินองค์มรรค เจตนานี่พลังงานกรรม มันก็ต้องไปตามกรรมของเรา
เมื่อเรารู้ว่าขยะอยู่เต็มทางเรา เราก็นึกไปถึงทางเรา ที่มันโล่งๆว่างๆ แล้วเราก็ลดเจตนาของเราลง เจตนาเกี่ยวกับเรื่องการพูด การคุย การสนุกสนานรื่นเริง การที่เราเข้าไปร่วมกับอารมณ์ของใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เจตนามันลดลงๆ ที่มันค้างแล้ว มันมืดมันดำ มันทำให้มรรคเราไม่สมบูรณ์ เราก็นึกถึงมรรคที่มันไร้เจตนาไปประหารมัน
จากมรรคที่ว่าเรามีอยู่ มันยังประหารไม่ได้ แต่ว่าถ้าตัวมรรคที่มันไร้เจตนา มันก็จะเกิดการประหาร  คือภาพขยะต่างๆที่ค้างอยู่ในทางนั้น มันก็หลุดออกไปๆ ที่เขาเรียกว่าประหารกิเลส เอามรรคประหารกิเลส คือมรรคขนาดที่เราได้นั้น กิเลสมันยังเข้ามาได้ แต่เมื่อเราเอามรรคที่ละเอียด เจตนาน้อยลงกว่าที่เราได้ในวันนั้น เศษขยะที่มันค้างมันก็จะหลุดออกไปเรื่อยๆ จนมันหลุดออกไปหมด เราก็จะถึงมรรคที่สมบูรณ์
(ในประเด็นมรรค ที่ไร้เจตนา นั้น เราก็จะนึกไปถึง สภวะจิตของเรา ที่ไร้เจตนา ตั้งอยู่กลางๆเช่นเดียว กับในวันที่เราได้พบมรรค นั่นคือทำสภาวะจิต ให้อยู่ในสภาวะนั้น นั่นเอง ผู้ที่ถึงมรรค พบทาง แล้ว ก็จะนึกได้ตลอดเวลา...ผู้คัดลอก)
อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราก็จะเห็นว่า ตัวที่มันประหารกิเลส สภาวะที่เราได้มรรคแรกๆนั้น หนึ่งสิ่งมันหายไปเลย ก็คือความสงสัย เรียกว่า วิจิกิจฉา ความสงสัยว่าอันนี้ใช่ ไม่ใช่ อันนี้เป็นธรรมะหรือเปล่า ตัวพวกนี้มันจะหมดไป เราเห็นชัดเห็นแจ้ง เห็นทางเดินของเรา อันนั้นเป็นธรรม อันนั้นไม่ใช่ธรรม อันนี้เราถึงธรรมหรือเปล่า อันนี้กิเลสเราหมดหรือเปล่า ความสงสัยลังเลว่าอันนั้นใช่อันนั้นไม่ใช่หมดไป
ต่อไปกิเลสตัวที่ 2  การยึดมั่นถือมั่นในศีล คือเราจะภาวนาในแต่ละครั้ง เราจะต้องคลายความรู้สึกเป็นความว่างก่อน หรือว่าเราต้องไหว้พระสวดมนตร์ หรือว่าเราต้องไปนั่งสมาธิ หรือว่าไปหาที่เงียบๆ แต่ในสภาวะที่เราเลิกคลายความยึดติดตรงนี้แล้ว เราจะทำตรงไหนก็ได้ มรรค มันปรากฏให้เราตลอดเวลา จะนั่งสมาธิที่ไหน นอนที่ไหนทำอะไรที่ไหน
ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เราต้องหาที่สงบ ที่นิ่งๆ ต้องไหว้พระสวดมนตร์รับศีล บำเพ็ญ-ภาวนาเป็นหลักเป็นฐาน เราจะต้องทำสมาธิ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวนี้จะถูกตัดออกไป อย่างขณะนี้เรานั่ง ถ้าเรายังนึกว่าเราจะคลายอารมณ์ ก็แสดงว่าเรายังติดลมหายใจเข้าออก เราไปรับอารมณ์มาแล้ว ถ้าคนดำเนินองค์มรรคสมบูรณ์ พอนั่งเฉยๆ มรรค ก็ปรากฏให้แก่เขาไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง มันก็โล่งๆว่างๆเบาๆ อันนี้ก็แสดงว่า เขาดำเนินองค์ของมรรคได้สบาย เรื่องความยึดมั่นถือมั่นของศีลเขาก็ไม่มีแล้ว
ต่อไปก็อันสุดท้าย อันที่ 3 ก็คือสักกายะทิฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ตัวตนของเรามันเกิดจากขันธ์ 5 เกิดจากใจของเรา เกิดธาตุรู้ เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันกระทบ เราชอบไม่ชอบทั้งหลาย มันก็เป็นกิเลส เมื่อมันเข้ามาแล้วเราไปติดตรงจุดนี้แล้ว มันจะทำให้เรามีตัวมีตน ทำให้เกิดทุกข์ เกิดโรคภัยไข้เจ็บเกิดสิ่งที่มันต่อเนื่องกันไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเราอยู่ตรงมรรค  กิเลสตัวนี้มันจะประหารได้ เราจะเห็นว่าตัวตนมันเกิดจากขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งขันธ์ 5 ขณะนี้มันอยู่ข้างล่าง เราเหนือขันธ์ 5 มาแล้ว เราเป็นวิมุติ เราอยู่ตามทางของเราทางนี้โล่ง ขันธ์ 5 มันอยู่ข้างล่างตัวตนนั้นเกิดอยู่ทางโน้น เมื่อเราอยู่มรรคนี่ ตัวตนของเราไม่มี มันสภาวะเป็นทาง
อันนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่ความเห็นเป็นตัวตนมันเกิดจากขันธ์ 5   3 ตัวนี้คือ วิจิกิจฉา สีลัพพต ปรามาส สักกายทิฏฐิ  ถ้าเราดำเนินองค์มรรคไป  3ตัวนี้จะหายถาวร เราไม่ประมาท เมื่อสิ่งเหล่านี้มันหมดไปแล้ว เราดำเนินได้แล้ว มันยังมีกิเลสที่ซ้อนๆอยู่ มันเป็นอนุศัยนอนเนื่องก็คือ โลภะ โทษะ โมหะ ที่เป็นอนุศัย มันจะโผล่ขึ้นมาให้เราเห็นเราจะต้องดำเนินองค์มรรคไปประหารกิเลสอยู่เรื่อยๆ
กามะ ราคะ การเสพกาม การกิน การกระทบอะไรต่างๆทั้งหลาย เราก็เพียรพยายามให้มีสติ อย่าให้มันไปชอบไม่ชอบ หล่นไปจากกระแสของมรรคทางเดิน กามราคะต่างๆ โลภะ โทษะ โมหะ มันนก็จะเบาบางลงไป เมื่อมันเบาบางลงไปแล้ว มรรคเราก็จะสมบูรณ์มากขึ้นๆ จนอารมณ์ขัดเคืองในใจก็หมดไป  เรื่องกามราคะก็คลายลงไป
แล้วอีกอันสุดท้าย ก็คือ ความถือตัวถือตน ตรงนี้เราจะเห็นว่า ตัวมรรคที่เราไม่ได้คือพวกแสง พวกสี พวกอะไรต่างๆ ตัวตนนี้คือ แสงสว่าง ถ้าเรายังยึดแสงสว่างในการเห็น การสัมผัสการรู้มีตัวมีตน เพ่งกับที่เรายังมีขันธ์ 5 อยู่ไม่ละวางการมีตัวเราเอง สภาวะมรรคก็จะไปติดอยู่ตรงนั้น ไม่สมบูรณ์
เมื่อเรายึดสิ่งต่างๆที่มันมาหาเรา เราไม่ยึดมันแล้ว สิ่งเหล่านี้ธรรมชาติมันมี มันคอยที่จะให้เรายึดถือ โดยเฉพาะตัวลมหายใจ คือร่างกายของเรามันปรุงด้วยลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับเราเรื่อยๆ เราก็ไม่ติดมัน ความคิดความนึกซึ่งเกิดจากการเพ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดแสงสว่าง ความคิดความนึกเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เราตัดออกไปได้ เมื่อตัดออกไปได้ก็จะเป็นมรรคที่สมบูรณ์ คือสภาวะมันก็จะโล่งๆทั้งกลางวันและกลางคืน
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า มรรคเราสมบูรณ์แล้ว  คนที่มรรคสมบูรณ์ เขาจะอยู่ในสภาวะมรรคตลอดเวลา เวลาเราหลับตานอนนตอนกลางคืนไม่ฝัน เพียงแต่เรา เวลานอนเราก็นอนตามคนอื่น เวลานอนก็หลับตา มันก็อยู่มรรคสว่างจนรุ่งสว่าง ตื่นขึ้นมาไม่มีการหลับเป็นทางเดินตลอด แล้วก็ไม่ฝันด้วย
สำหรับคนที่ดำเนินมรรคแบบนี้ บุคคลนั้นถ้าเสียชีวิตไปก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะว่าเขาดับหมดแล้ว เขาเหนือสมมุติเป็นวิมุติ กิเลสหาทางเข้ามาอีกไม่ได้ อันนี้ก็ขอให้ผู้ปฏิบัติ ถ้าใครดำเนินมรรคได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เกิดอาการฝัน เราหลับเราหลับเฉยๆ แต่ไม่มีการฝันขึ้น เป็น ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ  ก็คือบุคคลพวกนี้
ก็ขอให้ผู้ปฏิบัติทำจนถึงขนาดนั้น เมื่อเราทำให้ตัวมรรคสมบูรณ์ ปัญญามันก็จะเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ จนสุดท้ายปัญญาที่เกิดขึ้นจากความนึกความคิดของเรา ถูกตัดขาดลงไป ปัญญาที่เกิดขึ้นจากวิมุติเกิดขึ้นมา คือตอนที่มันมีปัญญาทางโลกที่เราเคยชินกับสัญญา เวทนา
ถ้าเราดำเนินมรรคไปเรื่อย สัญญา กับเวทนาจะถูกตัดขาด ความนึกความคิดจากสมองจะไม่มี มันดับไปแล้ว อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันจะไม่มี ที่เราเห็น มันจะเป็นความว่างๆโล่งๆ เรานั่ง เราไม่มีอะไรซักอย่าง เป็นแต่ความว่างเปล่า นึกอดีตก็ไม่ได้ นึกปัจจุบันก็ไม่ได้ นึกอนาคตก็ไม่ได้ ตอนนั้นเราจะกลัวมาก ว่าเราไม่มีอะไรซักอย่าง
 ขอให้ผู้ปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าตัวเราเองนี้ ดำเนินองค์มรรคเกือบสมบูรณ์แล้ว ตัดกระแสของทางโลกแล้ว ฝันก็ไม่ฝัน นอนหลับก็สว่างไม่มีการฝัน เมื่อดำรงค์ตัวนี้ไปเรื่อย ทุกส่วนในร่างกายของเรานี้ จะถูกแสงสว่างของมรรคไปประหารกิเลสหมดเลย สัญญา เวทนา อะไรต่างๆ ขันธ์ 5 ที่เรามีอยู่ที่เคยใช้มันจะถูกลบไปหมด
ถ้าเราตัดกระแสทางโลกไม่ได้ เราจะกลัวว่า เอ๊ะเราจะพูดอย่างไงคิดอย่างไง เพราะว่าตัวนี้ทำลายหมด  เมื่อเราน้อมเข้ามา ที่แน่นอนเรากำลังเดินไปหาโลกรุตระ   ถ้าเรายังไปใช้สัญญาของขันธ์ 5 อยู่ มันจะเป็นอนุศัยทำให้เราต้องไปผุดไปเกิดอยู่เป็นกิเลส เราดำเนินองค์มรรคมันยาก เราก็ละลายมันซะ ละลายสังขาร อะไรต่างๆ เอามรรคไปประหารๆ จนไม่มีอะไรซักอย่าง มันจะจำได้ จำไม่ได้ เราก็อยู่อย่างนั้นไป อยู่เรื่อยๆ
จิตของเราติดทางโลกรุตระแล้วเราไม่เกิดแล้ว ทางโลกเราไม่เอาแล้ว เราจะไปให้มันพ้น ที่สิ้นสุดของมัน เราไม่ห่วงอันใด แต่ว่าคนที่ยังมีหน้าที่การงานอยู่ ยังต้องใช้สัญญา เวทนาใช้ขันธ์ 5 อยู่ มันจะทำไม่ได้
แต่ถ้าคนใดถึงตรงนี้ มันมีคติที่จะอยู่โดยที่ไร้เจตนา  ก็คือการเป็นพระเป็นนักบวช ไม่ต้องมีอาชีพ อาศัยผู้อื่น ที่จะให้ตัวเองไปถึง คือรักษาพรหมจรรย์ไปถึงวันที่สิ้นสุดของตัวเอง เมื่อเราละลาย สัญญา เวทนา ความนึก ความคิด ความจำ ไม่มีแล้ว อยู่ไปซักระยะหนึ่ง ต่อไปมันก็จะมีความนึกความคิดโดยไม่ต้องนึกคิด มันออกมาโดยเราไม่ต้องใช้สัญญาในสมอง ออกมาจากจิตล้วนๆ  ตามเหตุตามปัจจัย อะไรที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราไปเจออันใดเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าสิ่งนี้เกิดมาจากอะไร มันก็จะทัสสนะ ให้เราเห็นพั๊บๆ ไม่ต้องนึกต้องคิด
เห็นอาการเกิดของมันแล้ว อาการดับของมัน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติ ของสิ่งที่ว่ามันลบกิเลสส่วนหยาบๆออกแล้ว เหลือกิเลสที่ละเอียด ตัวทัสสนะเป็นกิเลสที่ละเอียด แต่ว่าเราเอามาใช้ทางโลกทางธรรมได้ ถ้าเราใช้ทางโลกมันก็เป็นการผลิตเครื่องมืออะไรต่างๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์แก่ชาวโลก ซึ่งเครื่องมือนั้นไม่มีคนนึกคนคิด
หรือรู้เรื่องอะไรในโลกต่างๆมากมาย เพราะว่าสิ่งต่างๆนี่มันเป็นผล เป็นผลของสิ่งมีในโลก เหตุมันเกิดนี่เราไม่รู้จักกัน แต่ผลมันเกิดให้เราเห็นแล้ว ถ้าทุกคนได้ตัวนี้ ตัวทัสสนะก็จะเห็นในเรื่องราวต่างๆตามความเป็นจริง อันนี้ก็เป็นทางโลกไป
ถ้าเป็นทางธรรมแล้ว เราก็เอาไปสู่ความพ้นทุกข์ เพื่อความหลุดความพ้น เราก็อยู่ไปเรื่อยๆ เมื่อเราเอาไปทางโลกุตตระ เราก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับของสิ่งนี้ สิ่งนี้ก็ดับไปด้วย เราก็จะเห็นว่า ธรรมชาติตัวมรรคนี่ ที่เราดำเนินอยู่ทางมรรคอยู่ขณะนี้ มันเกิดสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ดับได้อย่างไร
เราก็จะเห็นการวนรอบของมัน  อย่างอวิชชาความไม่รู้ของจิต เป็นปัจจัยทำให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้ให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยทำให้เกิดอยตนะ อยตนะทำให้เกิดผัสสะ ผัสสะทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดตัณหา  ตัณหาทำให้เกิดอุปทาน อุปทานทำให้เกิดภพ ภพทำให้เกิดชาติ ชาติทำเกิดชรามรณะ ชรามรณะมีเหตุ เพราะว่าจิตมีอวิชชา อวิชชาก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดสังขาร ก็วนรอบของมัน เราจะทัสสนะให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นรอบๆ ไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
ดังนั้นเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ให้มันเกิดทุกข์ขึ้นมาอีก ก็ปล่อยให้ปัญญาเห็นของมัน เมื่อปัญญามันครบรอบอย่างนี้แล้ว ปัญญามันไม่เกิดแล้ว อวิชชามันก็หมดไป ตัวหมุนวนนี่ ปฏิจจสมุปบาท นี่ ถ้าเรายอมรับว่าเอ้อมันเป็นอย่างนั้นของมัน เราไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว เราปล่อยแล้ว มรรคมันก็สมบูรณ์อยู่ตลอด
ก็อยู่อย่างนั้นไป มันจบกิจแล้ว หมดแล้วเราไม่ต้องไปศึกษาอะไร มาถึงตอนนี้เราก็รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ด้วยเหตุอันใดเพราะ เหตุปัจจัยจากที่ทัสสนะ เรารู้หมดแล้ว เราสร้างกรรมอันใด เราจะตายเมื่อไร เวลาไหน ทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้  เรารู้เรื่องของตัวเราเองหมดแล้ว 
แล้วอันใดบ้าง อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารวิญญาณเป็นวงจรของการเกิด เราก็สามารถเข้าใจได้แล้ว อันนี้ก็เป็นที่จบของเรา ในการศึกษาธรรมะ ถ้าได้เห็นการวนรอบในปฏิจจสมุปบาท ก็คือการจบในการเรียนของศาสนาพุทธ ก็ขอให้ผู้ปฏิบัติดำรงค์องค์ของมรรคไปเรื่อยๆ เราก็จะไปถึงรอบปฏิจจสมุปบาท ความไม่รู้ 8 อย่าง จากการดำเนินองค์ของมรรคก็คือ
ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้สาเหตุที่เกิดทุกข์คือสมุทัย  ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักทางพ้นทุกข์ ไม่รู้จักความพ้นทุกข์หรือว่า มรรค เมื่อเรารู้ที่มาที่ไปของการเกิดทุกข์ ดับทุกข์  พ้นทุกข์ได้  คืออวิชชา 4 ตัวนี้หมดไปแล้ว อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ต่อไปผลจากการดำเนินของมรรค เราก็จะรู้จักอดีต
เมื่อดำเนินองค์มรรค เราก็จะเห็นว่า สิ่งที่มันค้างอยู่ก็คืออดีตเราก็สามารถที่จะเห็นอดีต ว่าเราไปสร้างกรรมสร้างเวรอันใด ต่อไปเราก็จะเห็นอนาคต อนาคตว่าเออเราไปทำอะไร อนาคตเราจะเป็นอย่างไง มันก็จะเห็นผลจากการดำเนินองค์มรรคมันเป็นธรรมดา  ผลจากการเสวยตัวมรรค มันจะโผล่ให้เราเห็น เสร็จแล้วเราก็ปล่อยๆ
ตอนแรกๆมันจะเห็นอดีตก่อน เราปล่อยอดีตแล้ว อนาคตมันจะโผล่ให้เราเห็น เราก็เห็นๆ ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ มันก็จะมีการเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต คืออวิชชา 8 ตัวก็คือ 1  ไม่รู้จักทุกข์ ไมรู้จักสมุทัย ไร้จักนิโรธ และมรรค ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักการเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต เราจะรู้ว่าอ้อเราทำเหตุอย่างนี้มันส่งผลให้อนาคตเป็นอย่างนี้เชื่อมโยงกัน
ต่อไปตัวที่ 8 ก็ไม่รู้จักการวนรอบของปฏิจจสมุปบาท อวิชชา 8 ตัว ของเรานี้หมดแล้ว ผลจากการที่เราดำเนินองค์มรรค ประหารอวิชชา 8 หมด เราก็ไปถึงรอบปฏิจจสมุปบาท เราก็ดำเนินมรรคที่สมบูรณ์ การเรียนศาสนาของเราจบลงไปแล้ว  พรหมจรรย์ของเราก็บริสุทธิ์  เราก็เตรียมคือรอวันสุดท้ายดับขันธ์ เราก็อยู่ในโลกนี้ไปซักระยะหนึ่ง ตามเหตุปัจจัยของกฏแห่งกรรมที่ได้สร้างเหตุไว้  
เมื่อเราดับขันธ์ของเราไปแล้ว ไม่มีกิเลสที่จะเข้ามาแทรก ในกระแสของทางเดินของเรา บุคคลนั้นก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ากิเลสที่เป็นเชื้อทำให้เกิดเชื้อหมดไปเสียแล้ว ก็เหลือสภาวะมรรค ทาง ซึ่งพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าของเรา พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ปล่อยวางแล้ว เพื่อให้เป็นทางเดินของสรรพสัตว์ทั้งหลาย  ทางเดินนี้มีไว้ให้แก่มนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์จะยอมใช้ทางเดินนี้หรือเปล่า
หรือจะยอมให้กิเลสเป็นเจ้านายหรือเปล่า ซึ่งดึงไปทางซ้ายทางขวา จึงขอให้ผู้ปฏิบัติ อยู่ตามทางนี้ไปเรื่อยๆ คนที่ได้แล้วให้อยู่บนทางนี้ไปเรื่อยๆ จนความนึกความคิดอะไรต่างๆสัญญาต่างๆละลายไปๆ จนความรู้จริงผุดขึ้นมาโดยไม่ต้องนึกคิด อันนี้มันจะเป็นซักระยะหนึ่งเท่านั้นเองให้เรารู้เราเห็นตามสภาพความเป็นจริง
ตอนสุดท้ายเมื่อเรารู้เราเห็นแล้ว เราก็ปล่อยทั้งหมดนี้ให้เป็นธรรมชาติ เราก็เป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่าคนธรรมดาคนนี้เป็นคนที่รู้เรื่องว่าตัวเองจะอยู่ในโลก หรือไม่อยู่ในโลกนี้  ผลที่สุดก็แล้วแต่บุคคลนั้นจะเลือกทางเดินของตัวเอง ถ้าคนไหนไม่ประมาทก็อยู่กับมรรคตลอดไป จนถึงวันสุดท้ายของการตายเกิดขึ้น คนนี้ได้อยู่แน่นอน
คนไหนที่ปล่อยให้กิเลสครอบงำเราอยู่ ลึกๆขึ้นๆลงๆก็จะต้องทุกข์อยู่ในโลกนี้ ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ได้เห็น มีคติว่าประมาณซัก 7 กลับมาในโลกมนุษย์ประมาณ 7 ครั้งเป็นอย่างช้า ถ้าเอากิเลสออกเร็วขึ้นคนนั้นก็มาไม่ถึง 7 ชาติ สภาวะมรรคก็สมบูรณ์ ตรงนี้ก็ถือว่าถึงนิพพานแล้ว นิพพานนั้นไม่ใช่เมืองที่จะเอาจิตของเราเข้าสู่เข้าไปถึงตรงทางอันนั้น เราจะต้องเอาสภาวะจิตของเราที่มันยึดติดอะไรทั้งหลายนั้นปล่อยวางทั้งหมด ไม่ใส่เจตนาอะไรทั้งหมด จนจิตเป็นทางเดินโล่งไม่มีตัวกระเพื่อมของจิตที่เข้าไปยึดทางซ้ายทางขวา
ดำเนินองค์ของมรรคกิเลสไม่เกิดขึ้น เพราะกิเลสเกิดจากการเข้าไปข้องแวะระหว่างทาง 2 ส่วน  มรรคสมบูรณ์ไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนสุดท้ายมันก็เหลือแต่ทาง ไม่มีคนเดินแล้ว สำหรับตัวเราไม่มีคนเดินแล้ว เพราะมันหมดเหตุปัจจัยแล้ว ส่วนสัตว์โลกทั้งหลายตายๆเกิดๆอยู่ในทางนั้นเมื่อหลังจากกวาดการเกิดการตายการเจ็บออกไป ที่อยู่ในทางเอาออกหมดแล้ว ตรงนั้นก็เราจะอยู่ในทางสมบูรณ์ ก็ขอให้ผู้ปฏิบัติสิ่งที่เราได้แล้ว เราก็จะดำรงค์มรรคเอากิเลสออกไปให้หมด....ต่อไปฝึกปฏิบัติ นั่งและเดินในมรรค