วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พระพุทธกัสสป โปรดลูกหลาน

แสงทิพย์ที่เจิดจ้า ถ่ายจากด้านทิศตะวันตกไปตะวันออก
มหาธาตุเจดีย์แสงแก้ว_สร้างเหนือที่ตรัสรู้ของพระพุทธกัสสป
โดย อ.ชัย แสงทิพย์

ภาพมหัศจรรย์ เจดีย์แสงแก้ว
ความเป็นมาของภาพถ่ายมหัศจรรย์  ศิษย์ผู้เคารพนับถือหลวงปู่ครูบาวงศ์ ได้ตั้งจิตขอภาพถ่ายมหัศจรรย์ ออกจากภาพถ่ายของหลวงปู่ครูบาวงศ์ ที่ตั้งบูชาอยู่ เมื่อถ่ายภาพแล้ว ปรากฏภาพมหัศจรรย์ ที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงเมตตาซ้อนภาพอีกหลายมิติลงบนบริเวณหน้าอกของหลวงปู่ฯ ในกลางวงกลมปรากฏภาพพระบรมธาตุของพระองค์ท่าน พร้อมด้วยแสงเงาของแสงทิพย์อันไพบูลย์ พร้อมขอบรัศมีแสงทิพย์ ในบริเวณส่วนหน้าของภาพปรากฏภาพพระเจดีย์แสงแก้ว 2 พระองค์ ทรงให้การยืนยัน การตั้งชื่อพระเจดีย์เอาไว้ล่วงหน้าก่อนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นหลายปี โดยหลวงปู่ฯตั้งชื่อพระเจดีย์ว่า พระธาตุแสงแก้ว
การประยุกต์ใช้ภาพมหัศจรรย์ เป็นหนทางลัดในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (อภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์) ช่วยให้ลูกๆของพระองค์ท่านคืนกลับบ้านนิพพาน ในยุคปัจจุบัน ที่ภัยอันตรายของธรรมชาติกำลังไล่ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด และเป็นยุคของอภิญญาใหญ่ ที่ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา เริ่มเปิดเผย เมื่อปลายปี 2547 http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=357780&Ntype=3 เป็นต้นมา
  • ขอใช้เครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงประทานมาให้ สำหรับการแยกจิตออกจากกาย โดยวิชาอภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์ อริยธรรม
ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอพระเมตตาบารมีของสมเด็จพระพุทธกัสสป โปรดนำดวงจิต หรือกายในของลูกทั้ง 100 % (ในสภาพ subatomic) เข้าไว้ในพระบรมธาตุของพระพุทธ องค์ตลอดไป พร้อมทูลขอดอกบัวรองรับ และขอให้ดอกบัวหมุนตามเข็มนาฬิกา เพื่อบูชาพระบริสุทธิคุณพร้อมน้อมรับพลังบุญบารมีรวม แสงทิพย์ของพระพุทธองค์เข้าสู่จิตลูกตลอดเวลา  พร้อมทั้งหมุนเพื่อแผ่เมตตาบารมีออกไปทั่วทั้ง 3 โลกฝากไปกับแสงทิพย์อริยธรรมตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
กราบขอพรให้จิตลูกดำรงค์อยู่กับอารมณ์วิปัสสนาเช่นนี้ ครั้งละติดต่อกันนานๆ หลายๆวัน หลายๆสัปดาห์ หลายๆเดือนอย่างต่อเนื่อง สะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตไปตลอดทาง ให้ลูกลุซึ่งการเดินมรรค โดยเร็วพลันก่อนหน้าวิบัติกาลของโลกในรอบที่ 5 นี้  ที่สมบูรณ์ โดยสะดวกอยู่ภายในพระบรมธาตุทุกประการ...(หลังจากได้ตั้งจิตขอพรการเดินมรรคได้ไม่นาน ก็พบความเปลี่ยนแปลง...เดิมเคยคิดเอาไว้ว่าจะหาเวลาปลีกจากภาระทางโลกสัก 1 สัปดาห์ ไปเดินมรรครอบพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้วเพียงภารกิจเดียว แต่ปรากฏว่าจิตที่ฝากเอาไว้กับพระบรมธาตุของพระองค์ท่านทั้ง 100 % จิตจะอยู่ในภาวะของ Neutral Zone อย่างต่อเนื่อง ส่วนใจก็ทำหน้าที่ทางโลกร่วมกับกายไปตามปกติ ต่างคนทำหน้าที่ของตนคนละมิติ พร้อมๆกันดุจเป็นการทำงานชนิด Dual Track
ซึ่งพระอาจารย์รัตน์ เคยตอบคำถามให้ทำไปพร้อมๆกัน โดยไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร จิตทำวิปัสสนาหรือระลึกรู้ในหน้าที่ที่ได้ตกลงจะทำเอาไว้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่ากายจะหลับหรือตื่น ส่วนจิตนั้นไม่เคยนอนหลับ ใหม่ๆอาจยังไม่คล่องตัวนัก จะให้จิตกับใจ ทำหน้าที่ของตนไปตามปกติ นอกจากระลึกถึงความตายเป็นประจำแล้ว ควรปรับสภาพของใจให้อยู่ใน Neutral Zone ไปด้วย จะได้ไม่ขัดกัน หลายท่านอาจเพิ่งเคยได้ยิน Neutral Zone ว่ากำหนดอย่างไร แดนนี้เป็นแดนกลางๆอยู่ระหว่าง Proton และ Electron มีความเสถียรของตนเอง
หรือผู้ที่เคยได้มรรคแล้ว ก็ลองย้อนไประลึกถึงสภาพจิตในเวลานั้น ส่วนผู้ที่ยกจิตขึ้นถึงมรรคโดยวิธีทางลัดหรืออภิญญาใหญ่ เมื่อน้อมจิตฝากเอาไว้กับแสงทิพย์หรือพระบรมธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปแล้ว ลองสังเกตสภาพของจิตในเวลานั้น ว่าเบาสบายหลังแยกออกจากกาย โดยได้อาศัยคลื่นความถี่สูงของแสงทิพย์ของพระพุทธองค์ช่วยเหลือ เติมสิ่งที่ขาดให้ เมื่อจับความรู้สึกนั้นได้ ก็ให้รักษาสภาพนั้นเอาไว้ตลอด ไม่ต้องดับเครื่องอย่างที่หลวงปู่ดู่ท่านเตือนเอาไว้ แล้วต่อยอดด้วยการเดินมรรคต่อไปเลย สำหรับผู้ที่มุ่งกลับบ้านนิพพานในชาติปัจจุบัน และพระอาจารย์รัตน์ ท่านยังแนะนำและย้ำว่า ให้จิตอยู่ในมรรคครั้งละนานๆ คราวละหลายๆสัปดาห์ หลายๆเดือน
แต่เมื่อรู้ว่าสามารถใช้ Dual Track สำหรับทำภารกิจของ จิต และใจ ไปได้พร้อมๆกันจึงไม่จำเป็นต้องดับเครื่องอย่างที่หลวงปู่ดู่ให้คำแนะนำไว้ แบ่งปันความรู้ใหม่สำหรับผู้ที่สนใจทำภารกิจของตนให้สำเร็จเสร็จสิ้นก่อนวิบัติกาลของโลกจะมาถึง ได้นำไปทดลองปฏิบัติ ด้วยตนเอง)
ตั้งใจบูชาพระ
พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต
ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิตสังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต
กราบพระ ๖ ครั้ง
พุทธัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระพุทธเจ้า
ธัมมัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระธรรมเจ้าสังฆัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระสงฆ์เจ้า
ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ (กราบ) (ผู้หญิงว่า อาจาริยคุณัง วันทามิ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งบิดา มารดา
พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระไตรสิกขา
สมาทานศีล ๕
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น   ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนตร์ใดๆด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เพราะเป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า ที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัย ท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์"
บทสมาทานพระไตรสรณาคมณ์
เพื่อผลานิสงส์ยิ่งขึ้น และเป็นการตล่อมจิตให้ชินต่อการทรงคุณความดี หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำให้มีการบวชจิต  ในขณะกล่าวการสมาทานพระไตรสรณาคมณ์ด้วย ดังนี้ ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า


พุทธัง สรณัง คัจฉามิให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของข้าพเจ้า
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของข้าพเจ้าสังฆัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาสนาจารย์ของข้าพเจ้า
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิแม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิแม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึกทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิแม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึกตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิแม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิแม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
บทอาราธนาศีล
  1. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า
  2. อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร
  3. อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในพรหมจรรย์
  4. มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ
  5. สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอทรงไว้ซึ่งศีลทั้งห้าประการด้วยจิตตั้งมั่น
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทาศีลนำความสุขมาให้ ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ธะเยศีลคือหนทางสู่พระนิพพาน
บทอาราธนาศีล : เป็นกุศโลบายให้คนชินต่อการกล่าวศีล เพื่อการรักษาศีลอย่างแท้จริงในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเกิดผลานิสงส์อย่างมาก เพราะถือว่าตลอดเวลาที่เราสวดมนต์อยู่นี่เรามีศีลบริสุทธิ์จนกว่าเราจะล่วงศีล ด้วยความจำเป็นต่าง ๆเช่น ด้วยอาชีพ ในส่วน “อพรัมจริยา เวรมณี…” นั้นเพราะในช่วงที่สวดมนต์อยู่นั้น เราไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้ามอยู่แล้ว ท่านจึงให้ถือพรหมจรรย์เสีย เพื่อบุญที่มากกว่า แต่เมื่อเราสวดมนต์เสร็จแล้ว หากต้องถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วยฆราวาสวิสัย ก็ย่อมทำได้ ศีลจะเลื่อนมาที่ กาเมสุมิจฉาฯแทน เรื่องศีลนี้ความจริงมีถึง 3 ขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงปรมัติเลยทีเดียว
บทอาราธนาพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ         (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นพุทธัง อาราธนานัง กะโรมิข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระพุทธเจ้าธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระธรรมเจ้าสังฆัง อาราธนานัง กะโรมิข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระสงฆ์เจ้า
บทอาราธนาพระรัตนตรัยนี้ เป็นการอัญเชิญพระบารมีของพระรัตนตรัยมาสถิตย์อยู่ที่กายและมโนแห่งเราอยู่ทุกลมหลายใจเข้า-ออก อยู่ทุกขณะจิต ให้เราไม่ห่างจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์ เรื่องการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์นี่ถือว่าจำเป็นมาก เพราะปิดอบายได้ เราจะไม่ลงนรก ผู้วิเคราะห์เคยถามหลวงตาม้าว่า (http://www.watthummuangna.com/) แล้วชาติหน้าเราจะต้องทำใหม่ไหม หลวงตาท่านว่า ไม่ต้อง เข้าถึงชาตินี้แล้วอารมณ์เก่าจะมี จะเข้าถึงตลอดทุกชาติ ปิดอบายตลอดทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน
บทขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุการกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไปโยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุการกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไปโยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุการกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
บทนี้มีความสำคัญมาก ด้วยกรรมไม่ดีที่เกิดแก่พระรัตนตรัยนั้น เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการปฏิบัติธรรม  ต้องหมั่นดูกิริยาของตัวเองมิให้ก้าวล่วงต่อพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา และให้คอยหมั่นขอขมาทุกวัน เนื่องเพราะบางทีเราอาจเผลอเรอล่วงเกินทั้งโดยเจตนา หรือไม่เจตนา ทั้งเล็กน้อยทั้งใหญ่หลวง กุศโลบายข้อนี้คล้ายคลึงกับการต่อศีลของพระ หรือการปลงอาบัติของพระ ทั้งนี้เพื่อให้กำลังใจ ให้รู้ตัว ให้นึกรู้ตัวตาม ให้เกิดสติอยู่ทุกขณะจิต เพื่อในกาลต่อไปจะได้ระมัดระวังตัวไม่ทำผิดอีกนั่นเอง (ส่วนผู้ที่ล่วงเกินในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยกาย วาจา ใจ นั้นอย่าได้หวังว่าชาตินี้จะได้ดี) 
หากคราใด เราจำเป็นต้องแบ่งเวลามาทำกิจทางโลก ที่ใจเป็นประธานเวลาจะกลับไปปฏิบัติวิปัสสนาในพระบรมธาตุใหม่ มาเริ่มไหว้พระใหม่ แล้วจึงไปเริ่มเจริญวิปัสสนา หรือเดินมรรคต่ออยู่ภายในองค์พระบรมธาตุ...ยังเข้าๆออกๆอยู่
เหตุที่กล่าวว่า การใช้อภิญญาใหญ่ เป็นทางลัดนั้น ทันทีที่เราน้อมนึกเอาจิตของเรา เข้าไปฝากไว้ในพระบรมธาตุของพระพุทธองค์นั้น เท่ากับเราเข้าไปยึดหัวหาดพระนิพพาน หากเราประมาทไม่คิดถึงความตายเอาไว้เสมอๆ เพียงแต่นำจิตไปฝากไว้แล้ว ก็ไม่เจริญวิปัสสนาหรือเดินมรรคต่อเนื่อง หากเกิดตายขึ้นมาอย่างดีก็ไปหยุดค้างที่สวรรค์ หรือเพียงอาศัยพระบารมีของพระองค์ท่านช่วยปิดอบายภูมิให้เท่านั้น
จิตยังต้องเพิ่มคลื่นความถี่สูงให้เต็มที่ หรือทำปฏิจจสมุปบาทให้ครบรอบ รู้เวลาและเหตุการตายของตน เมื่อรู้แล้ววางนำจิตมาตั้งอยู่ในอารมณ์วิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง ในสภาพของ นิวทรอล ไม่อิงทั้งบุญและบาป หรือบวกหรือลบ เป็นอุเบกขารมณ์ จนกว่ากายเนื้อจะแตกทำลายไป
หรือหากวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์ สภาพที่จิตลงมาเกิดบนโลกถูกยึดเหนี่ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก และจักรวาลต่างๆเช่นจักรวาลทางช้างเผือก จักรวาลไตรแองกุลัมทางด้านทิศตะวันออกของทางช้างเผือก จักรวาลอันโดรเมดา ที่ครอบทั้ง 2 จักรวาล และแรงสนามแม่เหล็กที่ซับซ้อนอีกมากมาย ดังนั้นการที่จะนำจิตของตน ให้พ้นแรงดึงดูดของโลกและจักรวาลต่างๆที่กล่าวแล้วนั้น จิตย่อมต้องใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ จิตจึงจะหลุดพ้นพันธนาการ คลื่นความถี่สูงของแรงยึดเหนี่ยวของโลกและจักรวาล ออกไปสู่ความเป็นอิสระได้เป็นผลสำเร็จนั่นเอง 
ส่วนผู้ยังยึดหลักการในพระไตรปิฏก ก็จะต้องทำการแยกจิตออกจากกาย ด้วย วิธีในหมวดมหาสติปัฏฐานสูตร ที่แยกจิตออกด้วยหมวด กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น
ได้สอบถามผู้ทรงศีลบางองค์ที่พยายามใช้วิธีในมหาสติฯฝึกแยกจิตมาเป็น สิบๆปี ท่านยอมรับว่าอาตมายังแยกจิตไม่ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่ของเก่าแต่ละคนด้วย ซึ่งฆราวาสบางคน อาจแยกจิตสำเร็จไปนานแล้ว ผู้ที่แยกจิตได้สำเร็จแล้วก็จะบอกว่าไม่ยาก ส่วนผู้ที่ใช้เวลามามากแล้วอาจบอกว่า มันก็ไม่ง่าย
ทีนี้ยุคนี้ ทางสมาพันธ์จักรวาลกำลังถึงยุคเก็บเกี่ยวผู้ที่ทำดี ให้ได้โอกาสเลื่อนเข้าไปปฏิบัติธรรมต่อใน 4th density ( www.zetatalk.com/orientat/o04.htm) หรือโลกยุคใหม่ ซึ่งได้บ่งบอกจำนวนเอาไว้เพียง 10 % ตรงกับในพุทธทำนาย และในจำนวนที่รอดชีวิตเข้าไปได้สำเร็จ ยังวิกลจริตอีก 43 % ส่วนที่เหลือรอดและมีสติดีจึงเหลืออยู่เพียงประมาณ 5 % เท่านั้น ทั้งนี้ก็ให้รอดูกันต่อไปว่าคนทั้งโลกจะเหลืออยู่ในโลกยุคใหม่ซักเท่าไร ในอนาคตใกล้ๆนี้
ข้อดีของผู้ที่สามารถนำชีวิตรอดเข้าไปสู่โลกยุคใหม่แดนศิวิไลนั้น บรรยากาศการ ปฏิบัติธรรมจะดียิ่งขึ้น ผู้ที่มีจิตเห็นแก่ตัว และพวกที่ยังไม่ตัดสินใจเอาทางไหน แทบไม่มีเหลือ แสงอาทิตย์ก็จะเย็นลงกว่าเก่า แกนกลางโลกแมกม่าก็จะเย็นลงด้วย และโลกโคจรมารับสัมผัสพลังงานเมตตา คลื่นความถี่สีเหลือง ที่ส่งมาจากกาแลกซี่ไตรแองกุลัมอีก 13,000 ปีด้วย ความเจริญทางเทคโนโลยี่ในปัจจุบัน จะถอยหลังไปอย่างน้อยอีก 100 ปี คลื่นดิจิทอล ที่มนุษย์สร้างขึ้นรบกวนพลังจักรวาลก็จะหมดไปด้วย มนุษย์จะคบหาสังสรรค์กับ ชาว UFO ที่อยู่ใน 4th density เพิ่มมากขึ้น และมีไอคิวบวก 287 ใช้เทคโนโลยี่ต่างๆล้ำหน้ามนุษย์ไปเป็นล้านๆปี
จึงเป็นโอกาสของมนุษย์ในโลกใหม่ จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังนาๆจักรวาลด้วยยาน UFO ได้ หากประสงค์ แน่นอนเขาใช้เทคโนโลยี่แตกต่างกับมนุษย์ ที่พยายามใช้อยู่ในปัจจุบัน และจะหมดยุคใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากใต้โลก ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษตามมามากมาย
เป็นโอกาสต่อการปฏิบัติธรรม คืนกลับบ้านเดิมได้สะดวก และยิ่งกว่านั้น ในช่วง 100 ปีต่อจากนี้ทางสมาพันธ์จักรวาล ยังห้ามพวกคนไม่ดีมาเกิดบนโลกอีกด้วย พร้อมทั้งยังนำพวกที่ไม่ผ่านการคัดเลือกไปกักบริเวณ ในโลกแห่งน้ำอีกด้วย เป็นปลาหมึก มาทราบภายหลังจากผู้ปฏิบัติสมาธิ ท่านสัตว์แพทย์เพื่อนของหมอสุรจิต ทองสอดแสง ที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ที่สุราษฎร์ธานี ได้ไปพบสถานที่กักบริเวณดังกล่าวที่สะดือทะเล จึงได้ทราบว่าโลกแห่งน้ำที่ชาว Zetas พูดถึงอยู่บนโลกมนุษย์นี้เอง
  • ส่วนหลายๆท่านอาจไม่ต้องการเอาตัวรอดแต่เพียงลำพัง ต้องการช่วยเพื่อนๆสรรพสัตว์ทั่วอนันต์จักรวาล ได้เพิ่มกำลังปรับภพภูมิใหม่ ไปพร้อมกันด้วย โดยอาศัยความเมตตาจากหลวงปู่ดู่ ส่งแสงพระโพธิสัตว์ ไปรับสรรรพวิญญาณ ที่อยู่ตั้งแต่ชั้นจาตุม มหาราชิกาลงมา มาร่วมปฏิธรรมด้วย
  • การเพิ่มคลื่นความถี่สูงให้แก่จิต ถ้าท่านได้ศึกษาข้อความต่อไปนี้อาจเข้าใจความสำคัญของคลื่นความถี่สูงดียิ่งขึ้น ......Regarding whether 3rd Density and 4th Density entities can be in the same room at the same time. This indeed can and does occur. How is this possible? These entities in fact do not see each other, because the one in 4th Density has its molecular structure moving faster than the other. In all cases where aliens are contacting humans, there is some of this occurring, for instance, when space ships are in 4th Density in your atmosphere but are not seen by humans. When the alien entities wish to be seen, they move their space ships into 3rd Density, zip about, and then return to 4th Density to disappear. ....ชาว UFO ที่มาทำหน้าที่บนโลกส่วนใหญ่จะอยู่ใน 4th density ยกเว้นพวกที่อยู่ใต้น้ำบางพวกที่อยู่ในสถานะ 4th และ 5th density
และท่านเหล่านี้เป็นผู้ส่งข่าวเคลื่อนไหวล่วงหน้า เตือนว่ากำลังจะเกิดผลกระทบต่อชาวโลกเป็นระยะๆอย่างไร ผ่าน Crop Circle ในที่ต่างๆทั่วโลกสืบมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และมีผู้นำมาให้คุณ Zeta อ่านปริศนาภาพต่างๆเหล่านี้ และต่อมาโลกก็จะประสบเหตุการณ์ต่างๆตรงตามสื่อความหมายนั้นๆตลอดมา...
ส่วนชาวไทยโชคดี ที่มีครูอาจารย์ทั้งพระอริยะเจ้า และสมเด็จพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธกัสสป และ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา สั่งสอนชี้แนะวิธีการเพิ่มคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตของมนุษย์และเทพ พรหม และสามารถเพิ่มได้สูงกว่า 4th density ได้ด้วย เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งปวง กลับสู่อิสระเป็นนิรันดร์หรือคืนกลับบ้านเดิมนั่นเอง
ประยุกต์วิธีการปฏิบัติ จาก แสงทิพย์อริยธรรม  (www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show) และบท วิเคราะห์บทสวดมนตร์  ของหลวงปู่ดู่ และประสพการณ์ที่ผ่านมา....ที่บรรดาลูกหลานของหลวงปู่ครูบาวงศ์ และสมเด็จพระพุทธกัสสป จะพิจารณา นำไปทดลองปฏิบัติได้ด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องไปแยกจิตด้วยวิธีการเดิมๆที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาในอดีต...ทดลองใช้สิ่งใหม่ๆที่พระพุทธองค์ทรงโปรดสงเคราะห์ให้เท่าทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่กำลังคับขันรอบด้านเข้ามาทุกขณะและมากไปด้วยมลภาวะ เบียดเบียนทั้งสุขภาพร่างกายและจิตในการทำสมาธิไม่ง่ายเหมือนในอดีต
อาจมีลูกหลานของสมเด็จพระพุทธกัสสปจำนวนหนึ่ง ที่มีบุญเนื่องมากับพระองค์ท่านเป็นทุนเดิม จะมีความประทับใจต่อการได้พบพระองค์ท่านเป็นพิเศษ มีความปิติยินดี ได้รับความอบอุ่นแก่จิตอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งรับสัมผัสด้วยจิตใต้สำนึกได้ว่าจิตของตนเบาสบาย หลุดพ้นพันธนาการต่างๆของโลกและจักรวาลในขณะที่อยู่กับพระองค์ท่าน พร้อมทั้งได้รับนิมิตหมายเฉพาะตน มองเห็นกายกับใจแยกออกไปอีกส่วนหนึ่งอย่างชัดเจน...
สำหรับผู้ที่รู้ว่าตนเองอยู่ในประเภทศรัทธาจริตนำหน้านั้น สมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ มา 8 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ก่อนมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โปรดผู้มีศรัทธาจริต ที่ได้ปฏิบัติตามๆพระพุทธองค์มา ใครรู้ตัวว่ายังตกค้างอยู่...ก็จะตัดสินใจได้เร็วกว่าพวกมีจริตอื่นๆ ก็ขอโมทนากับทุกๆท่านที่มาถึงตรงนี้ได้ โปรดรับทราบอาการดังกล่าวไว้ว่า ท่านได้มาถึงหัวหาดพระนิพพานแล้ว ด้วยจิตสัมผัสหรืออีกนัยหนึ่งเครื่องยนตร์ของท่านนั้นติดและทำงานได้แล้ว ซึ่งหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แนะนำเอาไว้ว่าอย่าดับเครื่อง ติดเอาไว้เดินเบาบ้างเต็มที่บ้าง
สำหรับวิธีการต่อยอด เมื่อถึงภาวะที่เครื่องยนตร์ติดแล้ว ลองแวะไปดูปรากฏการณ์เฉพาะตนที่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ประสบมา แล้วเลื่อนลงไปถึงใต้ภาพมหัศจรรย์ของหลวงปู่ครูบาวงศ์ ศึกษาบทความย่อๆที่ 'ขอย้อนกลับมาที่การเดินมรรค'  ท่านอาจได้ความคิดใหม่ว่า การต่อยอดการเดินเครื่องเอาไว้ตลอดเวลานั้น จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางให้แก่ท่านได้อย่างไรบ้าง