วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขยะอวกาศจาก PX ถล่มโลก

ปัจจุบัน Planet X ลอยตัวอยู่เหนือวงโคจรของดาวศุกร์ กระเดียดมาทางโลก ในระยะทางประมาณ 40 ล้านไมล์ รอเวลาโฉบลงมาบน Ecliptic ของโลก และเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้โลกในระยะเพียง 14 ล้านไมล์ ที่คุณ Zeta ได้ประมาณการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ ชาวโลกจะเห็น PX ในท้องฟ้ามีขนาดเท่าดวงจันทร์
แต่ในเวลาที่ PX หันขั้วเหนือชี้ตรงมายังโลก ในระยะที่อยู่ห่างโลกเพียง 14 ล้านไมล์ ของฝากที่PX จะส่งลงมายังผิวโลกโซนต่างๆคือขยะอวกาศ ที่มีขนาดต่างๆกันตั้งแต่ขนาดเม็ดกรวดเม็ดทราย จนถึงหินก้อนใหญ่ๆเท่ารถบรรทุก พร้อมด้วยฝุ่นผงสีแดง ที่จะทำให้แม่น้ำทั้งสายกลายเป็นสีเลือดพร้อมๆกับความเป็นพิษ  ถามว่าสิ่งเหล่านี้ปัจจุบันได้เกิดขึ้นแก่โลกบ้างหรือยัง
นับตั้งแต่ขามาของ PX เมื่อปี 2003 โลกก็ได้รับของฝากจาก PX เรื่อยมา และในตอนขากลับที่ PX โคจรเข้ามาในเขตสุริยจักรวาล และเข้ามาใกล้โลกโดยลำดับนั้น ก็ยิงของฝากมากับเส้นสนามแม่เหล็กให้ชาวโลกชมต่างหน้าเป็นระยะๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่เป็นข่าวทางอเมริกาใต้ บ้านระเบิด รถยนตร์เสียหายคนตายและบาดเจ็บหลายคน ส่วนลูกไฟที่ลุกไหม้อยู่บนฟากฟ้ามีสีต่างๆมีหางเป็นทางยาวนั้น ก็ได้ปรากฏให้พบเห็นมากขึ้นทางประเทศต่างๆด้านซีกโลกทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรเป็นส่วนใหญ่ ประเทศไทยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรไม่มากนัก เสมือนเกาะติดอยู่ข้างๆโลก จึงไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พบเห็นขยะอวกาศจาก PX มากนัก นอกจากหมอกควันสีชมพูอมแดงและมีท้องฟ้าสะท้อนแสงอาทิตย์สว่างตลอดทั้งยามค่ำคืนไม่เหมือนอดีต ที่ฟ้ามืดเมื่อพลบค่ำไปแล้ว และฟ้าจะร้องเป็นซีรี่ในปัจจุบัน
ข่าวเพิ่มเติมของ Planet X 
Wings and Tails
On an almost daily basis, evidence of Planet X appears on the SOHO and Stereo images and the Magnetic Simulator graphs. All this is documented by a devoted crew at the Pole Shift ning. The normal wings of the Earth's magnetosphere, blown back by the solar wind, are twisted and reversed, showing the presence of the powerful blast of magnetons from the N Pole of Planet X, which is rapidly approaching Earth. The Moon Swirls of Planet X, and Planet X itself, are visible, along with a trailing tail. Planet X often takes the form of a Winged Globe.
One of the Moon Swirls is termed the Check Mark, because two tubes of swirling minor moons trail off on either side of the dominant moon.
Despite all attempts to dissuade the public that evidence of Planet X exists, or to give an alternate explanation, NASA fails. In the past NASA has allowed its archives to be altered with cut-and-paste so it appears the Winged Globe has been around well before 2003, as documented in Issue 170 of this newsletter. NASA claimed that captures of the Winged Globe or the Moon Swirls on SOHO are exploding asteroids, as documented in Issue 202 of this newsletter. NASA used an eraser to attempt to get rid of the evidence, as documented in Issue 204 of this newsletter. And NASA claimed Planet X was a CME, as documented in Issue 216 of this newsletter. But the beat goes on, and the evidence getting harder and harder to hide or explain.
เนื่องจากเมฆฝนรับเอาประจุแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มาจากนอกโลก และจาก PX เอาไว้เป็นจำนวนมาก เวลาเมฆถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างกัน จึงเกิดเสียงดังมากผิดปกติมากขึ้นทุกที ด้วยมีประจุไฟฟ้าวิ่งผ่านอากาศเป็นปริมาณมาก เกิดทั้งแสงสว่างและแหวกอากาศ เมื่อพ้นไปแล้วอากาศก็วิ่งกลับมากระทบกันส่งเสียงดังกระหึ่มตามมา และยังมีประจุไฟฟ้าวิ่งขึ้นจากดินสู่อากาศอีกเช่นที่ฟอร์ตเวิร์ดเท๊กซัส เป็นเวลานานหลายนาที พร้อมทั้งส่งคลื่นไฟฟ้ามาเซิร์สอุปกรณ์ไฟฟ้า สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดมานานแล้วนับพันๆปี กำลังกลับมาใหม่เมื่อ PX สมาชิกดวงที่ 12 ของสุริยจักรวาล  ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 4 เท่ามีมวลมากกว่า 23 เท่า และมีธาตุเหล็กอยู่มาก  สนามแม่เหล็กของ PX จึงมีพลังมาก ดาวหางดวงนี้เป็นที่อาศัยอยู่ของมนุษย์เผ่าอะนูนาคี และ PX ไวต่อสนามแม่เหล็กในจักรวาลต่างๆ และต่อสนามแม่เหล็กของโลก ซึ่งเมื่อโลกได้รับอิทธิพลของ PX เข้าไปกระตุ้นแกนกลางของโลกทำให้แมกม่าเปลี่ยนทิศทางเดิน และแกนพลังงานของโลกโยกคลอนไปมาเป็นรูปเลข 8 มากยิ่งขึ้นทุกวันส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกทุกๆแผ่น PX กลับมาเยี่ยมโลกและดวงอาทิตย์ทุกๆ 3,657 ปีโดยประมาณ
พระจันทร์เปลี่ยนสีก็ดี ลูกไฟก็ดี ฝุ่นสะท้อนสีแดงในยามค่ำคืนก็ดี ต้นเหตุมาจาก PX

นับแต่นี้ต่อไปประเทศไทยอาจได้พบเห็นสิ่งต่างๆที่กล่าวแล้ว เหนือท้องฟ้าของประเทศนี้มากยิ่งขึ้นโดยลำดับ แต่จะในทิศทางที่ค่อนข้างขนานกับผิวโลกเป็นส่วนใหญ่มีมุมทะแยงไม่มากนัก แต่อาจมีขยะก้อนใหญ่ๆหลงเหลือลงมาถึงพื้นดิน ให้เป็นหลักฐานพยานบ้างก็ได้ ส่วนเรื่องฝุ่นสีแดง ก็มีให้ชมกันแล้วสีจางๆชมพูอมส้ม สีสว่างเรืองทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนแทบทุกคืนอยู่แล้ว ส่วนฝุ่นควันสีแดงพร้อมทั้งสารพิษ และฝุ่นรังสีซึ่งเป็นพิษและเป็นอนุมูลอิสระ ก็ปกคลุมผิวโลกมากเข้าทุกที ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบข้อมูลเหล่านี้จากนักวิทยาศาสตร์ของโลกแต่อย่างใด จะจงใจปกปิดเอาไว้มากกว่า หรือว่าเกินปัญญาของพวกเขาก็ได้...ซึ่งทางนาสซ่าจะโบ้ยให้เป็นความผิดของดวงอาทิตย์ จะหลีกเลี่ยงไม่บอกต้นเหตุที่แท้จริง คงลืมไปว่า CME จากดวงอาทิตย์เปลี่ยนสีดวงจันทร์ได้? หรือย้ายตำแหน่งดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ได้ด้วยหรือ?...เช่นการให้ข่าวเมื่อ 24-26 ก.ย. 54 เป็นต้นกลับเฉไปที่ดวงอาทิตย์ และเศษขยะดาวเทียมที่หมดอายุแล้วตกลงมา..ทั้งๆที่ฤดูกาลนี้ดวงอาทิตย์เกิด Solar flare น้อยมาก และปีหน้า 2012 ก็ไม่ใช่ปีที่จะเกืด CME มากมายผิดปกติบนดวงอาทิตย์แต่อย่างใด 
ซึ่งคุณ Zeta ประเมินค่าความรู้ของนักวิทยาศาสตร์โลก ต่อสิ่งแวดล้อมในจักรวาลเอาไว้เพียง 1 % เท่านั้น ก็น่าเห็นใจที่พวกเขาจะไม่สามารถบอกอะไรได้มากนัก แต่นักวิทยาศาสตร์ทางจิตหลายๆท่านของประเทศไทยทราบเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ว่าประจุลบหรืออนุมูลอิสระที่กำลังถูกส่งลงมายังผิวโลกนั้นปริมาณมากมาย และก่ออันตรายเพียงใดให้แก่สิ่งมีชีวิต ทำให้นิวเครียสของเซลล์ในร่างกายทั้งร้อนเพิ่มขึ้น และสะสมของเสียเข้าไปเพิ่มมากขึ้นทุกเวลานาที ลดภูทิคุ้มกันร่างกายลง โดยมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ทราบต้นเหตุความเสื่อมของสุขภาพตนเอง และไม่สามารถนำของเสียที่สะสมเพิ่มมากขึ้น ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ออกจากเซลล์ในร่างกายได้ เป็นปัจจัยสำคัญก่อให้มนุษย์เจ็บป่วย และเซลล์เป็นมะเร็งในอัตราเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าใจหายไปทั่วทั้งโลก โดยลำดับอีกด้วย และเมื่อความร้อนภายในเซลล์ในร่างกายมีมากกว่าปกติ เซลล์ก็จะมีอายุสั้นลงกว่าปกติ และยังทำให้มนุษย์หายใจสั้นลงและหายใจตื้นอีกด้วย ส่งผลให้มีสามาธิสั้น และหงุดหงิดง่าย...ซึ่งหากทราบต้นเหตุสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ยังพอมีทางแก้ไข จากผู้เชี่ยวชาญพิเศษต่างๆ 
สภาพแวดล้อมเป็นพิษ  มาจากนอกโลกเหล่านี้ ค่อยๆบั่นทอนสุขภาพ และอายุของมนุษย์ลงอย่างเงียบๆ ด้วยความเจ็บป่วยนาๆชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็งจะทำลายชีวิตมนุษย์ลงอย่างมากมาย สิ่งเหล่านี้พูดไปแล้วไม่น่าเชื่อถือ และเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อผู้ที่กล่าวถึง ท่านที่ได้พบข้อความเหล่านี้ โปรดอย่าปักใจเชื่อแต่อย่างใด เพียงรับฟังเอาไว้ก็พอ และคอยจับตาดูผลที่จะเกิดขึ้นตามมาต่อๆไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีข่าวเผยแพร่กันอยู่ทั่วโลก เราก็จะได้รับทราบด้วยตัวของเราเอง ว่าสิ่งที่นำมาเล่าให้ฟังนั้น มันจะเป็นความจริงหรือไม่
เรื่องเหล่านี้ชาวดาวอังคารก็ได้มาบอกสาระต่างๆ ทั้งต้นเหตุความเป็นมาและผลเสียต่างๆ รวมทั้งวิการแก้ไข แก่มนุษย์พิเศษบางท่านเอาไว้เช่นเดียวกัน และได้มีผู้ที่สันทัดในภาษาของพวกเขา ได้แปลความหมายต่างๆที่พวกเขามาส่งข่าวเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถนำออกเผยแพร่ออกไปสู่มวลชนทั่วโลกได้ ยังรอคอยหลักฐานพยานชิ้นสำคัญ ให้พวกเขานำยาน UFO ตัวจริงที่มนุษย์ใน 3rd Density นี้ สามารถมองเห็นและสัมผัสได้มาตั้งแสดงต่อหน้าผู้สื่อข่าวทั่วโลกเสียก่อน และหากเมื่อถึงเวลานั้นข่าวสารอันเป็นสาระเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ทั่วโลก จึงจะถึงเวลาได้รับการเผยแพร่ออกไป ให้ผู้ที่ได้ยินและได้ชมภาพต่างๆได้พิจารณากันเอาเอง ว่าจะสามารถนำมาก่อให้เกิดประโยชน์ตนได้เพียงใด ซึ่งมนุษย์เชื่อเรื่องเหล่านี้ยากอยู่แล้ว
ส่วนเวลานี้ก็ลองมาพิจารณารายละเอียดต่างๆ ต่อปัญหาที่มีผู้ต้องการทราบถามคุณ Zeta เข้ามา

Tail/Moon Swirl Range, the Zetas Explain



The description we gave that Planet X would appear as large as, but no larger than, the moon upon passage, when surrounded by the Halo of its dust cloud, does not include the entire tail. At the time that description was given, in late 2001, the moons and tail were not discernible in imaging, unless close to the body of Planet X and intensely reflecting the light from Planet X. By Dec 2002, the moons at a distance from Planet X became visible to those taking images. 

The whole panorama, in ancient folklore, is described as a dragon, which brings to mind a long and twisting tail, legs, wings, with a distinct head. The head of course is the Planet X body, at this time leading well ahead of the swirl of moons in the tail, due more to the influence of the solar wind than motion of Planet X itself. Where dust in the tail, and some debris the size of gravel and boulders, reach the Earth during this passage some 14 million miles from the earth, the Moons stay closer to Planet X which at all times is the dominant gravity draw for them. 

You can consider the Moons to be within 5 million miles of Planet X, as the maximum distance they will stray. They at all times are reflecting light from Planet X, and thus in imaging move more than the White Persona, but less than the Red Persona, as they have absorbed light, reflected light, as objects independent from the light source do, and thus have their own Persona in this regard, the Moon Persona. They will not track as far during the imaging night as the Red, nor be as fixed as the White, but will reflect their own internal 
Swirling during the night.



ZetaTalk™