วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประวัติหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร Version ล่าสุด





หลวงปู่ใหญ่เมตตาเล่าประวัติของท่าน ให้แม่(มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา)ได้บันทึกไว้ มีดังนี้.....

ครอบครัวที่หลวงปู่มาจุติ  บิดาของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร มีนามว่า โกเมน มารดามีนามว่า พิราศ ท่านมีบุตร 2คน คือ ท่านพระครูธรรมเทพโลกอุดร และน้องสาว ชื่อ ทิพย์ยะติ หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ก่อนที่ท่านจะถือกำเนิด มี ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของบิดาได้เดินทางธุดงค์มาจากทาง เขาพันสน

ปัจจุบันอยู่ในประเทศศรีลังกา ท่านมาพักอยู่ที่บ้านของบิดา บิดามารดาของหลวงปู่ใหญ่ ท่านเป็นคนมีศีลมีธรรม ท่านได้จัดทำพิธีไหว้ครู(ก็คือท่าน พระเทพศันกัลป์ยะ)ในวันนั้นก็บังเอิญ ที่หน้าบ้าน ของบิดาหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้มีดอกบัวผุดขึ้นมาจากสระน้ำ เป็น ดอกบัวสีแดง
พระอาจารย์พูดขึ้นว่า "ดอกบัวนั้นน่ะ แสดงให้รู้ว่า จะมีผู้มีบุญญาธิการมาเกิด เมื่อบวชจะได้เป็นพระอรหันต์" พระอาจารย์ได้บอกให้บิดาของหลวงปู่ใหญ่ จัดทำพิธีเตชะวา (คือ การทำพิธีบวงสรวงเทพยดา)
พระอาจารย์จะเป็นผู้ทำพิธีให้ เครื่องบวงสรวงก็มี ขันน้ำ 1ขัน มะพร้าวผ่าซีก 1ลูก จุดธูป 16 ดอก และท่านได้ทำพิธีรวมธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุทั้ง 4 รวมกัน ก็เป็นอากาศธาตุ


วันที่ท่านทำพิธีนั้น ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง ซึ่งถือเป็นวันดี และเป็นวันที่หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้ถือกำเนิดขึ้น ในวันนั้น ก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ ดอกบัวที่อยู่ในสระนั้น ได้บานขึ้นมา

บิดาของหลวงปู่ ได้อุ้มหลวงปู่ ที่เพิ่งถือกำเนิดออกมา ไปวางไว้ในดอกบัว ทันใดนั้น ดอกบัวก็ได้พลันหุบลง ห่อตัวหลวงปู่เอาไว้   


บิดาของหลวงปู่ เห็นดังนั้นก็ตกใจ กลัวว่าดอกบัวจะไม่ยอมบานออก เพื่อให้หลวงปู่ได้ออกมา พระเทพศันกัลป์ยะ จึงได้พูดกับบิดาของหลวงปู่ว่า ให้ทำพิธีเวทุตา(คือ การทำพิธีขอขมาดอกบัว) บิดาของหลวงปู่ได้ยินดังนั้น ก็จัดแจงทำพิธีกรรมขอขมาขึ้น โดยได้นำเอา ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ และของไหว้ตามประเพณี พร้อมธูป 16 ดอก มาก้มกราบขอขมาดอกบัว และได้กล่าวคำขอขมาว่า
"ข้าพเจ้าได้ทำผิดพลาด หรือกล่าวล่วงเกินสิ่งใดๆต่อท่านดอกบัว ข้าพเจ้านั้น ไม่มีเจตนา ข้าพเจ้าขอขมาท่านด้วยเทอญ ข้าพเจ้า ขอตั้งสัจจะว่า เมื่อบุตรชายของข้าพเจ้าเติบโต ข้าพเจ้าจะให้บวชเรียน เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป และข้าพเจ้าจะไม่ทำผิดต่อท่านอีก โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ" การขอขมาของบิดาเป็นผลสำเร็จ ดอกบัวได้บานออกมา บิดาก็อุ้มหลวงปู่ออกมาจากดอกบัว!!!...(คนรุ่นปัจจุบันหลายๆคน ได้รับฟังแล้วคงออกงงๆ การรับรู้ของดอกบัว ทำไมจึงแสดงอาการเช่นนั้นได้...ในสรรพสิ่งทุกชีวิตในนิวเคลียสของทุกๆเซลล์ มีธาตุรู้อาศัยอยู่ซ้อนอยู่ในอีกมิติ เป็นมิติพลังงาน)
ลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า พออายุได้ 18 ปี ดอกบัวที่อยู่ในสระน้ำหน้าบ้านนั้น ก็บานขึ้นมาอีกครั้ง!! แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ มีลำแสงไฟสว่างพวยพุ่งออกมาจากเกสรดอกบัว ลำแสงนั้น ฟุ้งขึ้นมาหลายๆดวงพร้อมกัน !!! (เหมือนกับเราจุดพลุในปัจจุบันนี้) ความหมายที่ท่านดอกบัวบอก
ก็คือ ถึงเวลาแล้วที่บิดาจะต้องให้หลวงปู่บวชเรียน บิดาก็ได้จัดเตรียมของบูชาดอกบัว เพื่อทำพิธีบอก กล่าวว่าจะนำบุตรชายเข้าทำพิธีบวชเรียนแล้ว ตามที่ได้กล่าวให้สัจจะเอาไว้เมื่อครั้งก่อน
ตอนนั้น บิดามารดาของหลวงปู่ ได้จัดเตรียมของบวชให้ ก็มีผ้าขาว 1 ผืน ผ้าจีวรที่พระมารดาเป็นผู้ทอผ้าเอง 1 ผืน มีดอกดาวเรือง ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ผลไม้ นมแพะ 1 แก้ว น้ำ 1 ขัน น้ำผึ้ง 1 ขวด ตั้งไว้อยู่ที่โต๊ะบูชา การบวชในครั้งนี้ มีพระเทพศันกัลป์ยะ เป็นครูอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชนั้น ได้บอกกล่าวกับดอกบัวว่า

"ขอได้โปรด ท่านดอกบัวเอ๋ย ข้าพเจ้าจะขอลาท่าน เพื่อบวชเรียน เพื่อที่จะสร้างบารมี และบำรุงพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านดอกบัวโปรดเมตตาในตัวข้าพเจ้าด้วยเทอญ ถ้าบุญวาสนาของข้าพเจ้ามี ที่จะได้บวชรับใช้พระพุทธศาสนาต่อไปข้างหน้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวชอย่างไม่มีอุปสรรคอันใดเลย ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะวาจา และสัญญาว่า ข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จะไม่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป ขอจงได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้บวชด้วยเทอญ ข้าพเจ้าจะทำตามคำสัตย์จริงทุกประการ สาธุ สาธุ สาธุ "

เมื่อหลวงปู่อธิษฐานเสร็จ ก็ได้บังเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ดอก บัวได้กลับหดลงไปเรื่อยๆ และปรากฎมีอัญมณีสีแดงผุดออกมาจากข้างในดอกบัว อัญมณีสีแดงนั้น ก็คือ พลอยสีแดง พุ่งออกมาตกอยู่ในมือของหลวงปู่ ดอกบัวนั้น ก็ได้หดหายไป ไม่มีร่องรอยของดอกบัวเหลืออีกเลย!! หลวงปู่ จึงตัดสินใจบวชตามเจตนา ส่วนอัญมณีสีแดงนั้น หลวงปู่ก็ได้นำติดตัวไว้เสมอ (หลวงปู่ใหญ่ท่านได้เล่าว่า พลอยสีแดงนั้น ท่านจะมอบให้กับคนที่ต้องสืบทอดพุทธศาสนาต่อไป

และท่านก็กำหนดไว้แล้วว่า "ให้เก็บไว้ให้ดีนะ จะทำเป็นแหวนใส่ก็ได้ ปู่ให้เจ้าแล้ว" แต่แม่ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่า แม่ไม่แน่ใจว่า ใช่พลอยที่หลวงปู่ครองอยู่หรือเปล่า? แม่ไม่ทราบได้ และก็ไม่กล้าที่จะถามด้วย คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่ว่าอะไรที่หลวงปู่ท่านให้ จะเป็นก้อนหิน ก้อนกรวด ก็เป็นของดีทั้งนั้น!!...

ขันธ์ 4 มากกว่าขันธ์ 5 และผู้ไร้ขันธ์

ตอนหลวงปู่บวชเรียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าว่า ก็ตื่นเต้นอยู่ ครูอุปัชฌาย์ของท่าน สอนวิชาต่างๆให้ พาธุดงค์สอนธรรมะ สอนวิธีการเดินธุดงค์ ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดแล้ว ก็ดูว่า เราสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว ท่านก็ ให้หลวงปู่ไปศึกษาธรรมต่อที่ประเทศทิเบตอีก เพราะที่ทิเบตนั้น เป็นแหล่งศึกษาธรรมชั้นยอด เป็นนิกายมหายาน ซึ่งผู้ที่มาปฏิบัติ จะต้องเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก

ตอนนั้นหลวงปู่อายุได้ 23 ปี มีพระสหายที่สนิทสนมกันมาก คือ ท่านพระนามาตะ และหลวงปู่ก็ได้มาพบกับ พระเทพยะโสนะ ซึ่งเป็นพระสหายเก่าของท่าน พระเทพยะโสนะ ท่านก็ได้มาศึกษาธรรมที่ประเทศทิเบต และจะต้องไปเผยแผ่ธรรมต่อไปเหมือนกัน หลวงปู่อยู่ศึกษาธรรมที่ทิเบตหลายปี เรียนจนธรรมนั้น ได้เข้าไปถึงจิตวิญญาณ จิตสามารถรับรู้ได้เอง ในเรื่องของพลังและอิทธิฤทธิ์ จนเป็นที่เลื่องลือกัน ในหมู่พระที่เรียนธรรมด้วยกัน ทุกรูปจึงเรียกหลวงปู่ว่า"พระเทพมุนียะ" ซึ่งหมายถึงนาม แห่งรูปธรรม

(บรรลุธรรม พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ 4 หลวงปู่จึงใช้กายพลังงานและกายหยาบได้ตามจิตประสงค์ เพื่อช่วยส่งเสริมผู้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีกรรมร่วมกับหลวงปู่มาแต่อดีตชาติ หากลูกหลานคนใดมีความรู้สึกแรกที่ใกล้ชิด ศรัทธาหลวงปู่เป็นพิเศษ ควรตั้งใจ น้อมโมทนาบุญกุศล ปัญญาบารมีในการบรรลุธรรม จนเต็มองค์มรรคของแต่ละคน ขอถ่ายทอดพลังงานเหล่านั้นทั้งหมดเข้าไว้ในเซิร์บเวอร์ของตนเอง ทุกๆวัน ให้พลังงานเข้าสู่เซลล์ทุกๆเซลล์และน้ำในร่างกายทุกๆอณู สถิตย์อยู่ที่ทั่วกาย วาจา ใจ และจิต ให้ตนเองมุ่งตรงสู่ทางของตน และดำรงค์ในองค์มรรค มิให้หล่นจากทาง ไปให้ตลอดรอดฝั่งโดยเร็ว ก่อนโลกย้ายเข้าสู่ยุคใหม่ได้ยิ่งดี จะเป็นที่ชื่นชมโมทนาของหลวงปู่อย่างยิ่ง แม้จะต้องตายเวลาใดก็ไม่ต้องมีห่วงกังวลใดๆเหลืออยู่)

หลังจากที่เรียนจบแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับถิ่นฐานเดิม เมื่อต่างคนต่างได้วิชามาแล้ว มีพระธรรมอยู่ในจิตวิญญาณแล้ว พระอาจารย์(ก็คือท่านพระเทพศันกัลป์ยะ)ได้ทำการคัดเลือกให้ไปเผยแผ่พุทธศาสนาตามทวีปต่างๆ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆละ 5 รูป เพราะที่ไปเรียนวิชากันมา มีทั้งหมด 10 รูป ใน 10 รูปนี้ มีพระสหายที่สนิทของหลวงปู่ด้วย คือ ท่านพระนามาตะ พระอาจารย์เป็นผู้คัดเลือกเอง ว่ารูปไหนควรจะไปทางทิศใด ท่านได้ทำพิธีคัดเลือกประมาณตี 1 ตอนสวดมนต์ทำวัตรตามปกติ แล้วจะเข้ากรรมฐานต่อ ช่วงที่เข้ากรรมฐานนั้น พระอาจารย์จะเป็นคนคัดเลือก โดยท่านจะประกาศชื่อของแต่ละรูป ซึ่งแบ่งเป็น 2 สาย เพื่อจะได้เดินทางแยกย้ายไปเผยแผ่ ในคณะของหลวงปู่นั้น ก็มี 5 รูป แต่ไม่มีพระสหายคนสนิทของหลวงปู่ร่วมอยู่ในคณะด้วย คือ ท่านพระนามาตะ ในคณะของหลวงปู่มีชื่อ ดังนี้.-

  1. พระเทพมุนียะ(หลวงปู่ใหญ่ หรือหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร นาม
  2. เดิมของท่าน คือ พระครูธรรมโลกอุดร เพราะตอนบวชท่านได้ฉายานามนี้)
  3. พระเทพยะโสนะ
  4. พระเทพศรีอุตตระ
  5. พระเทพภิริยะญาณี
  6. พระเทพธรรมภูริ
คณะของหลวงปู่ เลือกที่จะเดินทางมาประเทศสยาม(หมายถึงประเทศไทย) การเดินทางต้องรอนแรมมาตามป่าเขา เพราะเป็นป่าทึบมาก สัตว์ป่าก็มีเยอะ เป็นป่าที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางมาเผยแผ่ธรรมนั้น ระหว่างการเดินทาง มีอุปสรรคมากมาย โดนผีหลอกบ้าง โดนพรางตาบ้าง มี อยู่ครั้งหนึ่ง หาแหล่งน้ำไม่เจอ ตอนแรกคณะของหลวงปู่ทุกรูป ก็ไม่ได้คิดอะไร เดินหาจนเหนื่อย ได้ยินเสียงน้ำไหลใกล้ แต่ก็หาลำน้ำไม่พบสักที

เล่นเอาเหนื่อยไม่อยากเดินหาแล้ว จึงหยุดนั่งหลับตาดู ว่าเสียงน้ำมาจากทางไหน? พอนั่งหลับตาสักพักก็เห็น ลำน้ำไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย ที่มองไม่เห็นก็เพราะไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าว ขอเจ้าป่าเจ้าเขา  จึงได้จัดแจงกันทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา นึกถึงครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยเหลือ ปรากฏว่าน้ำก็ผุดมาให้เห็นในทันที!!! น้ำใสสะอาดมาก ได้ดื่ม ชำระร่างกายกันจนเรียบร้อย ก็พากันปักกลดเพื่อปฏิบัติธรรมแผ่เมตตา ช่วยเหลือพวกเขาที่อยู่บริเวณนั้น 1คืน รุ่งเช้าพากันเดินทางต่อ จนในที่สุดคณะของหลวงปู่ก็เดินทางมาถึงประเทศสยาม

ถึงเขตประเทศสยามแล้ว จึงทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ท่านได้คุ้มครองคณะของหลวงปู่ให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นตามถ้ำ ตามต้นไม้ หรือพื้นดิน เมื่อทำพิธีขอขมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นมาก ไม่ทุลักทุเลเหมือนทางที่ผ่านๆมา คณะของหลวงปู่เดินทางมาเรื่อยๆ จนเห็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งอยู่กลางป่า หลวงปู่และคณะตกลงกันว่า จะพักที่ใต้ต้นโพธิ์นี้ ทุกคนพักกันหายเหนื่อยแล้ว

พระเทพยะโสนะ ท่านได้พูดขึ้นเป็นเชิงปรึกษาว่า "เราควรที่แยกย้ายกันไปแต่ละแห่งตามทิศที่พวกท่านปรารถนา เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมะได้หลายๆแห่ง" ทุกรูปต่างเห็นดีด้วย จึงเตรียมตัวแยกย้ายกันไปตามภาคต่างๆ ส่วนหลวงปู่เอง ขอเลือกมาทางภาคอีสาน เมื่อเลือกที่จะมาทางภาคอีสานแล้ว ก็ได้เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองลพบุรี..

(จากคำบอกเล่าของหลวงปู่ จะเห็นว่าวิญญาณเจ้าถิ่นที่ดูแลถิ่นที่นั้นมานมนาน ก็มีอิทธิฤทธิไม่น้อยอยู่เหมือนกัน  หลวงปูจึงให้ความเคารพ บอกกล่าวขอขมากันก่อน ว่าจะเข้ามาใช้พื้นที่นั้นทำสิ่งใด)

เมื่อมาถึงเมืองลพบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมรังสี สมัยนั้นเมืองลพบุรียังเป็นป่าอยู่ และวัดพรหมรังสียังเป็นป่ารกร้าง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง หลวงปู่ก็ได้พักที่นั่น อยู่เมืองลพบุรีไม่นาน ก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองชัยภูมิ(แต่ก่อนเมืองชัยภูมิ ยังอยู่ในเขตเมืองเลยในอดีต) ตรงที่เป็นถ้ำวัวแดงอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนเขาแถบนี้ยาวมาก มีอาณาเขตติดต่อกันหลายจังหวัด

(ฤทธิ์เทวดารวมพระอริยะเจ้า ณ ถ้ำวัวแดง)ในคราวแรกหลวงปู่เดินผ่านเขาลูกนี้ไปแล้ว แต่ไปๆมาๆ ก็เดินกลับมาที่เขาลูกนี้อีก จนได้พบกับคณะของหลวงปู่ครบทั้ง 5 รูป ที่เขาวัวแดงนี้ ซึ่งจะว่าเป็นการบังเอิญก็ใช่เหตุ ทุกคนต่างแปลกใจเหมือนกันหมด จึงพากันสำรวจเขาวัวแดงลูกนี้ พบว่ามีถ้ำเยอะมาก จึงตกลงกันว่า จะเอาเขาวัวแดงนี้ล่ะ เป็นจุดเผยแผ่ธรรมะ หลวงปู่ท่านเล่าว่าท่านเดินทางมาถึงประเทศสยาม จนได้มาอยู่ที่เขาวัวแดง(ถ้ำวัวแดงในปัจจุบันนี้) ในปีพ.ศ.1865 (688ปีที่ผ่านมา) ท่านได้พูดขึ้นกับคณะของท่านว่า "ในเมื่อเราได้มารวมตัวกัน ณ ที่นี้แล้ว และที่นี่ก็มีถ้ำมากมายเหลือเกิน พวกเราจงเอาที่นี่แหละ เป็นที่เผยแผ่ธรรมะจะดีที่สุด"

สิ้นเสียงหลวงปู่ ก็ได้มีเสียงบรรดาผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนรุกขเทวดา เมืองบังบด ไปจนถึงนางไม้เจ้าป่าเจ้าเขา มาคอยต้อนรับเป็นอย่างดี เทวดาทำการอัญเชิญนิมนต์"พระเทพยะโสนะ" ขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำแสงจันทร์" ส่วน"หลวงปู่ใหญ่"ท่านเทวดาได้นิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำสะอาด" "พระเทพศรีอุตตระ"ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำประทุนและถ้ำน้ำ" แต่ส่วนมาก มักชอบอยู่ที่"ถ้ำน้ำ" "พระเทพภิริยะญาณี"ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่"ถ้ำเจ็ดห้อง" ส่วน"พระเทพธรรมภูริ" ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่"ถ้ำสะดือ" เป็นอันว่า คณะของหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้ไปบำเพ็ญตามถ้ำต่างๆ ตามที่เทวดาได้นิมนต์เชิญ...


ทีนี้ทุกคนคงจะเข้าใจแล้วนะว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรนั้น มีนามว่า"พระเทพมุนียะ"นามเดิมของ หลวงปู่ใหญ่นั้น ในหมู่เพื่อนของท่าน มักชอบเรียกกันว่า"พระครูธรรมเทพโลกอุดร" คำว่า"โลกอุดร" นี้มีความหมาย คือ "โลกแห่งการหลุดพ้น" หรือบางคนจะเรียกว่า"ความเหนือโลก"นั่นเอง

หลวงปู่ท่านยังเล่าต่ออีกว่า ประมาณหลังเที่ยงคืนทุกวัน คณะของหลวงปู่จะนัดพบกันที่"ถ้ำสะอาด" เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน เวลาสนทนาธรรม หลวงปู่ใหญ่จะเคี้ยวหมากไปด้วย มือก็จะถือ"ลูกแก้ว"เล่นไปด้วย ลูกแก้วของหลวงปู่ใหญ่นั้น สามารถเปลี่ยนสีได้

(พูดถึงลูกแก้วแล้ว แม่จะเล่าให้ฟังนะ ลูกศิษย์เก่าๆ ที่ได้ลูกแก้วจากหลวงปู่ ที่มีคนนำมาถวายท่าน หลวงปู่ท่านได้ส่งญาณมาที่สังขารของแม่ และลงคาถาปลุกเสกลูกแก้ว ทุกคนที่ได้ลูกแก้วไป ก็จะเปลี่ยนสี บางคนเป็นสีขาวใสสะอาด บางคนเป็นสีฟ้า สีเขียวมรกตบ้าง สวยงามมาก ทั้งๆที่ตอนรับกับหลวงปู่นั้น ลูกแก้วก็ยังเป็นสีขาวธรรมดา ส่วนของแม่นั้น ได้มา 2 ลูก ลูกหนึ่งเป็นสีรุ้ง อีกลูกหนึ่งเป็นสีเขียว...พิจารณาดูก็เป็นเครื่องมอนนิเตอร์ภูมิจิตภูมิธรรมของเจ้าของลูกแก้วได้กระมัง)

หลวงปู่ใหญ่และคณะ มักจะสนทนาธรรมกันจนถึงตี 3 หลวงปู่ใหญ่ท่านได้พูดถึง"พระเทพธรรมภูริ"ว่า ท่านชอบนั่งหลับตาเวลาสนทนาธรรมกัน ท่านจะเป็นคนเยือกเย็น ทำตัวสบายๆ เวลาท่าน"พระเทพยะโสนะ"ถามอะไร ก็จะหลับตาตอบไปยิ้มไป พระเทพธรรมภูริเก่งหลายเรื่อง มีอิทธิฤทธิ์มาก ชอบเอากล้วยน้ำว้าติดไม้ติดมือมาฝากเป็นประจำ สำหรับ"พระเทพศรีอุตตระ" ท่านมีอภิญญา มีใจเป็นธรรม มีคุณธรรมประจำใจ "พระเทพศรีภิริยะญาณี" ท่านมีของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์หลายอย่าง พระเทพแต่ละองค์ ต่างก็มีของดี และมีอิทธิฤทธิ์ทุกรูป.

"เอาละลูกเอ๋ย ทีนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ลูกจงเขียนไป หลวงปู่อนุญาตเจ้าแล้ว"

หลวง ปู่ท่านเมตตาเล่าประวัติย่อๆ ที่มาที่ไปให้แม่ได้ฟัง และดลใจให้แม่เขียน เพราะปกติแม่จะเขียนหนังสือไม่ค่อยถูกต้อง จะต้องให้ณีคอยบอกคอยเรียบเรียงแก้ไขให้ มีอยู่ตอนหนึ่ง หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ท่านจะเดินทางไปพบท่านพระเทพยะโสนะ ที่ถ้ำแสงจันทร์ ระหว่างทางได้พบกับช้างพลายป่า กำลังตกมันบ้าคลั่งอยู่ เดินเข้ามาทำร้ายหลวงปู่ หลวงปู่ก็เลยแผ่เมตตา และได้คุยกับเจ้าช้างพลายเชือกนั้น จนเจ้าช้างพลายสงบลง และเดินจากไป นอกจากนั้น หลวงปู่ ก็ยังเจองูอีก งูนี้เห็นหลวงปู่ก็เลื้อยหลีกหนีไป บางตัวก็หดตัวเลย หลวงปู่ท่านเล่าไปก็ยิ้มไป

หลวงปู่มีเมตตาต่อลูกศิษย์มาก ท่านได้เผยความในใจของท่านว่า "อยาก ให้ลูกศิษย์ทุกๆคนเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม อยากให้ลูกศิษย์ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และสำเร็จทุกๆคน อยากให้ลูกศิษย์ รู้ถึงกฎแห่งกรรม จะได้ตั้งใจบำเพ็ญศีลภาวนา เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรืองทั้งปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า อยากให้ลูกศิษย์ทุกๆคน ช่วยเผยแผ่ธรรมะออกไป ให้กว้างไกล เพื่อพระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปอีก"

ท่านพูดเสมอว่า "เพื่อพุทธศาสนิกชนชาวสยาม และเพื่อพุทธศาสนาแล้ว ท่านยอมที่จะเหนื่อย ยอมที่จะทำการทุกอย่างที่จะเผยแผ่พระธรรมให้มากที่สุด เพราะท่านอยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีชีวิตอันมีความสุขกายสุขใจ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข"!!....

บรรดาลูกหลานของหลวงปู่ที่ได้ศึกษาพิจารณาประวัติ และผลงานต่างๆของหลวงปู่ที่ได้เล่าผ่านคุณแม่มณีจันทร์ มาแล้วทั้งหมด พอสรุปได้ว่างานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะของหลวงปู่ทุกพระองค์ ก็ต้องพิจารณาเลือกสรรถิ่นทำเลที่เหมาะควรในการทำหน้าที่สงเคราะห์บรรดาลูกหลาน ให้เกิดประสิทธิ ผลและสะดวกปลอดภัย ผู้ที่ได้ศึกษาสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลกและประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคตใกล้ๆนี้ ตัดสินใจว่าตนเองและครอบครัวจะต้องตระเตรียมถิ่นที่ปลอดภัยเอาไว้ล่วงหน้าให้ทันกับกำหนดเวลาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับถิ่นที่อยู่เดิมของเรา
ที่มา คุณสมดุล

 ข้อมูลมาก ลงให้ไม่ทัน เชิญแวะที่เฟสบุ๊คเรา http://www.facebook.com/junkomonk#!/profile.php?id=100002737758452