มนุษย์รู้จักขุดหาแร่ธาตุมาใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความเจริญให้ประเทศมานมนาน ไล่ขุดกันตั้งแต่บนบกเรื่อยไปจนถึงในน้ำ เรื่องการขุดเหมืองแร่ในทะเลลึกจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นประเด็นที่สหรัฐกับ ประเทศกำลังพัฒนาถกกันมาเกือบ 30 ปีแล้ว
ใจความตอนหนึ่งของบทบัญญัติว่าด้วยการทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกในอนุสัญญา ปี 2525 ในกฎหมายทะเลของสหประชาชาติระบุว่า พื้นทะเลตลอดทั้งทรัพยากรที่ได้จากพื้นทะเลนั้น ให้ถือเป็นมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ แม้สหรัฐจะยอมรับความคิดนี้ แต่ยังยืนยันว่า ทรัพยากรใต้ทะเลเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ ใครครอบครองได้ก่อนจึงมีสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่มีทั้งทุนและเทคโนโลยีย่อม ได้เปรียบ ความเหลื่อมล้ำตรงนี้จึงต้องให้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกันว่า ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆ เพื่อให้มีเทคโนโลยีทัดเทียมกัน แต่แนวคิดดังกล่าวก็ไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม
ทุกวันนี้ มีผู้ดำเนินกิจการทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกถึง 9 กลุ่ม ในจำนวนนี้ 4 กลุ่มเป็นบรรษัทข้ามชาติ อีกสองกลุ่มเป็นวิสาหกิจของฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย อินเดีย และจีน
สำหรับสินแร่ในท้องทะเลลึกจะรวมตัวกันเป็นก้อนและมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง กันตามสถานที่ แร่ที่สำคัญคือ ทองแดง นิกเกิล โคบอลต และแมงกานีส ก้อนแร่เหล่านี้จะอยู่ในระดับความลึกจากผิวน้ำ 3,500-6,000 เมตร
ยาสุชิโร กาโตะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะโลกศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ของญี่ปุ่น กล่าวว่า ในน่านน้ำสากลตั้งแต่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเกาะฮาวายไปถึงทางตะวันออก ของเกาะตาฮีติ ในเฟรนช์ โพลีนีเชีย พบก้อนแร่ 78 แห่ง รวมแล้ว 80,000-100,000 ล้านตัน กระบวนการทำเหมืองแร่ใต้น้ำ คือ การขุดเอาดินโคลนจากพื้นมหาสมุทรขึ้นมาเพื่อสกัดเลือกหาแร่ธาตุที่ต้องการ ด้วยการใช้กรดเจือจาง เป็นขั้นตอนที่ทำได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จะสกัดแร่ธาตุออกมาได้ 80-90%
อย่างไรก็ตาม นักนิเวศวิทยาและนักสิ่งแวดล้อมระบุว่า การทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกทำร้ายระบบนิเวศวิทยาเลวร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการ ใช้อวนจับปลาที่ครูดหน้าดิน ทำลายหญ้าทะเลและปะการัง มนุษย์ต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้มากขึ้นว่าคุ้มหรือไม่กับการพัฒนาที่มีราก ฐานมาจากการบ่อนทำลายโลกซึ่งเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย joyguang1 : วันนี้ เมื่อ 07:40 PM