วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่อง: คุณลักษณะของผู้ถือไม้ขีดไฟ (Attributes of the Match Bearer) ตอน 3

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: คุณลักษณะของผู้ถือไม้ขีดไฟ (Attributes of the Match Bearer)

วันที่ : 2 กรกฎาคม 2011
ผู้รับการสื่อสาร: นาย Lee Carroll
สถานที่: California

ที่มา:

Attributes of the Match Bearer > Kryon

ตอนที่ 3
อุปมาดั่งแสงสว่างและความมืด


เดี๋ยวเรามาเริ่มการเรียนการสอนกันเลยดีกว่า ข้ออุปมานี้ถูกยกขึ้นมาอธิบายครั้งแล้วครั้งเล่า

ให้จินตนาการดูว่ามีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ที่เนืองแน่นไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “มนุษย์”
ที่กำลังพากันเดินไปเดินมาท่ามกลางความมืดมิดของห้องนั้นอยู่ อุปมาข้อนี้
หมายถึงความมืดมิดด้านจิตวิญญาณหนะนะ

มนุษย์เหล่านั้นไม่มีใครรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร หรือว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าพวกเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานแห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า
พวกเขาจะพากันทำตามแต่สิ่งที่ถูกสอนมา และทำตามแต่หลักการ, ปรัชญา
หรือคำสอนทางศาสนาที่พวกเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กเท่านั้น

พวกเขาพากันค้นหาพระเจ้าในทุกๆที่ๆพวกเขาทำได้ ซึ่งบางคนก็ได้พบพระเจ้าแบบละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
แต่บางคนก็ไม่ ส่วนอีกหลายๆคนก็ทำตามแต่พิธีการเท่านั้น
และไม่เคยเข้าใจอะไรที่นอกเหนือจากพิธีการเหล่านั้นเลย
และดูเหมือนว่า เมื่ออยู่ในความมืดมิดแบบนั้น พวกเขาจะเดินชนกันเองอยู่บ่อยๆ
บางคนเมื่อเดินไปชนคนอื่นแล้ว ก็โกรธขึ้นมา แล้วสงครามก็บังเกิดขึ้น
นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความมืดมิด ที่พวกคุณไม่สามารถมองเห็นได้ว่าอะไรเป็นอะไร
นอกเหนือจากที่รู้แต่สิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆก็เลยไม่เกี่ยวข้องกับพวกคุณ และก็เลยกลายเป็นเรื่องลึกลับไป
เพราะเหตุนี้ มันจึงมีบทโศกเกิดขึ้น
เพราะเหตุนี้ มันจึงมีทฤษีสมรู้ร่วมคิด และความไม่ไว้วางใจกันเกิดขึ้น
เพราะเหตุที่อยู่ในความมืดมิดจึงพากันก่อสงครามขึ้น
เพราะเหตุที่อยู่ในความมืดมิดจึงพากันแบ่งแยกเราเขา และก่อเกิดความเกลียดชังกันขึ้น
เพราะเหตุที่อยู่ในความมืดมิดจึงพากันหวาดกลัว และวิตกกังวล

จากนั้น เมื่อข้ออุปมานี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ สมมุติว่ามีมนุษย์คนหนึ่ง ที่กำลังอยู่ในความมืดมิดนั้น
รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งพวกคุณอาจจะเปรียบเทียบคุณสมบัติของคนผู้นี้ว่า เปรียบเสมือน “ผู้ที่มีไม้ขีดไฟ” ก็ได้

เพราะว่าคนผู้นี้มีความสามารถที่จะก่อให้เกิดแสงสว่างได้ เพราะว่าเขามีไม้ขีดไฟก้านเล็กๆอยู่ก้านหนึ่ง


ในห้องที่มืดสนิทแบบนี้ การจุดไม้ขีดไฟขึ้นจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
เพราะว่ามันจะทำให้เกิดแสงสว่างเพียงพอที่จะทำให้ทุกๆคนในห้องนั้นมองเห็นได้แบบสลัวๆ

ดังนั้น ผู้ที่มีไม้ขีดไฟคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะจุดไฟขึ้นมา ท่ามกลางห้องที่มืดมิดนั้น

เหตุผลคืออะไรหนะหรือ? ก็เพื่อที่จะศึกษาความเป็นจิตวิญญาณของตัวเอง,
เพื่อศึกษาคุณค่าของตนเอง และเพื่อที่จะมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น พวกเขาจึงจุดไม้ขีดไฟขึ้นมาเพื่อตัวพวกเขาเอง
เพื่อที่จะให้ตัวเองเอื้อมมือไปจับมือกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้ (Higher-Self)
และเพื่อที่จะค้นให้พบว่าตนเองเป็นใคร

เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงจุดไม้ขีดไฟของตนเองขึ้นมา และในกระบวนการของการจุดไม้ขีดไฟนี้
มันก็ได้ทำให้ส่วนอื่นๆของห้องนั้นสว่างขึ้นด้วย (แต่สลัวมากๆ) และในทันใดนั้น
มนุษย์คนอื่นๆก็สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ด้วย และพวกเขาก็ชอบด้วยที่ได้มองเห็นแบบนี้

เพราะว่าพวกเขาสามารถมองเห็นครอบครัวของตนเองได้ และความหวาดกลัวก็เริ่มจางหายไป
และเพราะว่าตอนนี้มีความเข้าใจแล้วว่าอะไรอยู่ข้างๆตัวเอง จึงทำให้เกิดความเข้าใจ และความสงบขึ้น
ความคลางแคลงใจก็ลดน้อยลง

ตอนนี้บางคนก็เริ่มมองหาแล้วว่าแสงสว่างนี้มาจากที่ไหน แต่อีกหลายๆคนก็ไม่
ลักษณะของแสงสว่างจากผู้ถือไม้ขีดไฟคนนั้น ก็คล้ายๆกับประภาคารที่ตั้งอยู่ริมทะเลนั่นแหละ
ซึ่งพวกเราได้เคยพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ ประภาคารที่ว่านั้นตั้งอยู่เพียงลำพัง
ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง มันส่องแสงสว่างออกไป ที่ใครอาจจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ได้
ซึ่งสามารถนำทางพวกเขาให้เข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัยได้ ตามความสมัครใจของพวกเขาเอง
เพราะว่าพวกเขาต่างก็มี “หางเสือแห่งทางเลือกอิสระ” อยู่บน “เรือแห่งชีวิต” ของพวกเขาเองด้วยกันทุกคน

ผู้ถือไม้ขีดไฟก็เช่นเดียวกัน เขาจะนั่งอยู่กับไม้ขีดไฟของเขา ส่องแสงสว่างเพื่อตัวเขาเอง
แต่ก็ส่งผลกระทบในด้านบวกต่อผู้คนที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาด้วย
ผู้ถือไม้ขีดไฟจะไม่พูดอะไรเลย และผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเขา ก็อาจจะไม่รู้จักชื่อของเขาหรือเธอเลยด้วยซ้ำ
ผู้คนเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเขา/เธอคนนั้นได้จุดไม้ขีดไฟขึ้นแล้ว!

ที่พวกเขารู้ทั้งหมดก็คือตอนนี้พวกเขาสามารถมองเห็นแล้ว!
คนบางคนอาจจะเริ่มค้นหาไม้ขีดไฟในตัวเองบ้างแล้ว
แล้วพวกเขาก็ค่อยๆทะยอยกันจุดไม้ขีดไฟของตนเองขึ้นมาช้าๆ
แล้วห้องนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งห้องนั้นมีความสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย
และความลึกลับก็จะลดน้อยลงเท่านั้นด้วย
และยิ่งมนุษย์สามารถมองเห็นตัวเอง และครอบครัวของตัวเองได้มากเท่าไหร่
ความเข้าใจ และความสงบสุขก็จะมีมากขึ้นเท่านั้นด้วย


นี่แหละคือลักษณะของดาวเคราะห์โลกที่พวกเรากำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้

พวกเราได้เคยบอกไปแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า
ขอเพียงแค่ไม่ถึง 0.5% ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมด
ที่จุดไม้ขีดไฟขึ้นมาเท่านั้น ก็จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นมาบนโลกได้แล้ว

ตอนนี้พวกคุณก็รู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมันแล้วใช่ไหม ซึ่งมันหมายความว่า
สามารถปล่อยให้มีจำนวนชาวโลกมากมาย ทั่วทุกมุมโลก ที่ไม่เคยจุดไม้ขีดไฟของตัวเองขึ้นมาเลย
ที่ไม่เคยเชื่ออะไรอย่างที่พวกคุณเชื่อเลย แต่พวกเขาก็ยังสามารถมีส่วนร่วมด้วยได้
เพราะว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมโดยอาศัยแสงสว่างของพวกคุณ
เรื่องนี้มันอาจจะยากต่อความเข้าใจของพวกคุณ ว่าเพียงไม้ขีดไฟก้านเล็กๆแค่นี้
มันจะสามารถทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นได้อย่างไร แต่มันทำได้ ดังนั้นในห้องนี้

ผู้ที่กำลังฟังฉันพูดอยู่ในตอนนี้
และผู้ที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ในตอนนี้
พวกคุณคือ “ผู้ถือไม้ขีดไฟ”


ฉันรู้ได้ยังไงหนะหรือ? ก็เพราะว่าฉันรู้จักพวกคุณหนะสิ

โอ..มนุษย์โลกเอ๋ย ในห้องนี้มีนักรบอยู่มากมาย มีเรื่องราวมากมายที่อาจจะทำให้พวกคุณขนหัวลุกเลยหละ
ทั้งเรื่องราวบู้ล้างผลาญแบบพระเอกๆ และเรื่องราวแห่งความสุข

มันมีเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ด้วย
มันมีเรื่องราวของความซาบซึ้งใจอยู่ด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณนึกออกว่า มันได้เคยเกิดขึ้นกับมนุษย์คนใดคนหนึ่งแล้วบนโลกใบนี้ อยู่ที่นี่หมดแล้ว
บทละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางบท ที่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้แล้ว พวกคุณก็เคยได้ร่วมแสดงแล้ว
บทบู้ล้างผลาญสุดๆแบบพระเอกๆบางบท ที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถทำกับคนอื่นๆได้ พวกคุณก็เคยแสดงมาแล้ว
บทบาทแห่งความทุกข์ทรมานแบบสุดๆบางบท ชนิดที่ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้เลย
พวกคุณก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว
บทบาทที่ต้องเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เคยมีมาบนโลกใบนี้ ก็เกี่ยวข้องกับพวกคุณอีกนั่นแหละ

โดย Chayutt